xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปราบผู้มีอิทธิพล หรือ"คลึง"นักการเมือง !? แซ่ด“อุทัยฯ”แปรภักตร์–“นครปฐม”โดนอ่วม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปฏิบัติการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน พ.ย. และจะสิ้นสุดในเดือนเม.ย.รวมเวลา 6 เดือน หากว่ากันอย่างตรงไปตรงมายังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะข้อเท็จจริงบางอย่างต้องยอมรับว่าผู้มีอิทธิพลตัวจริงเสียงจริงของสังคมไทย ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในปีกนักการเมือง พลันที่เกิดการยึดอำนาจเข้าสู่ห้วง “คืนความสุข”เหล่าอิทธิพลต่างๆ พากันหูลู่ หางตก เก็บตัว ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง จึงเหลือแต่บางส่วนที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เช่น ขบวนการยาเสพติด

รองลงมาน่าจะเป็นแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ที่ยังคงหากินกับความยากจนของคนระดับรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง แม้มีการจับกุมให้เห็นปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียดจะเห็นได้ว่า ไม่มีครั้งใดสามารถเข้าไปถึงนายทุน หรือหัวขบวนการที่อยู่เบื้องหลังได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลในยุคคสช. จึงอึกทึกครึกโครมแค่เพียงด้านเดียว จากการ“ตีปี๊บ”ให้ข่าวของทางการ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม แต่ผลดำเนินการยังไม่สมราคาคุย กระทั่งเกิดกระแสอีกทางหนึ่งทำนองว่า มาตรการดังกล่าวคล้ายๆ กับการปราบปรามผู้มีอิทธิพลเมื่อปี 2534 ตรงกับยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจมาจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ 

เริ่มจากการประกาศรายชื่อผู้มีอิทธิพล ลามไปถึงบรรดานักการเมืองระดับ“บิ๊กเนม”ก่อน ตามด้วยการยึดทรัพย์

เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสมบูรณ์ เกิดมีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “สามัคคีธรรม” เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพรรคการเมืองที่รองรับการสืบอำนาจของทหาร และผลการเลือกตั้งทั่วไป พรรคทหาร หรือพรรคสามัคคีธรรม ในขณะนั้นได้ ส.ส.79 คน เป็นอันดับ 1 ก่อนจัดตั้งรัฐบาลรวมเสียงจากพรรคชาติไทย กิจสังคม ประชากรไทย และราษฎร

ขณะจวนเจียนจะได้นายกฯ ชื่อณรงค์ วงศ์วรรณ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็แถลงข่าวว่าไม่สามารถออกวีซ่าให้กับนายณรงค์ ได้เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใก้ลชิดกับผู้ค้ายาเสพติด ชื่อพ่อเลี้ยงณรงค์ ตกไป และมีผู้เสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา คราประยูร 1 ในคณะรสช. ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แทน

กระทั่งเกิดวิกฤติการเมือง มีพรรคเทพ พรรคมาร และเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 

ท่วงทำนองเมื่อปี 2534 แม้จะไม่เหมือนกับยุคคสช. หรือในปัจจุบัน แต่มีส่วนคล้ายอยู่บ้างเช่น การปราบปรามผู้มีอิทธิพลก่อนรุกคืบในทางการเมือง นั่นคือการลงประชามติรับ-ไม่รับ รัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์

ส่วนการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะในฝั่งนักการเมืองคงต้องจับตากันต่อไปว่าจะมีอะไรให้เห็นสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพียงแต่ขณะนี้มีเหตุการณ์ 2 จังหวัด ที่นักวิเคราะห์การเมืองพากันให้ความสนใจ นั่นคือปฏิบัติการต่างๆ ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี และ จ.นครปฐม

อุทัยธานี เป็นจังหวัดเล็กๆ มีเขตเลือกตั้งเพียง 2 เขต และเมื่อเอ่ยถึงจังหวัดแห่งนี้ก็ต้องนึกถึง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ นักการเมืองคนดังสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งหลังจากยึดอำนาจคฤหาสน์ของเขาถูกตำรวจแวะเวียนเข้าตรวจค้นหลายต่อหลายครั้ง ภายใต้ปฏิบัติการฟ้าสาง ที่อุทัยธานี บ้าง ฟ้าสางที่สะแกกรังบ้าง นอกจากนายชาดา ที่ตกเป็นเป้าแล้วยังมีสมุน-บริวาร พลอยเดือดร้อนไปด้วย

นครปฐม เป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคเพื่อไทย มีเขตเลือกตั้ง 5 เขต ภายใต้การดูแลของ นายไชยา สะสมทรัพย์ และพี่น้องตระกูลสะสมทรัพย์ ชะตากรรมของ “ขาใหญ่”เมืองส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย ยังคล้ายกับบรรดานักการเมือง“ขาใหญ่”จังหวัดอื่นๆ แต่ต่างกันว่าทุกปฏิบัติการ รวมทั้งการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในระหว่างนี้ พื้นที่-เครือข่าย ต่างๆ ของนายไชยา สะสมทรัพย์ ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองสแกนอย่างจริงจังทุกตารางนิ้ว

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตำรวจ-ทหาร สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมาย 8 จุด เฉพาะซุ้มนายพเยาว์ เนียะแก้ว อดีตนายกอบจ.นครปฐม ยึดปืนลูกซองยาวได้ 2 กระบอก ปืนสั้น 3 กระบอก เงินสด 2 ล้านบาท และทองคำแท่งหนัก 1,150 บาท ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าตัวคงต้องชี้แจงความเป็นมาของทรัพย์สินต่างๆ ให้ชัดเจนเพราะการเก็บเงินสดกับทองคำมูลค่าระดับนี้ไว้ในบ้าน ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน

นครปฐม ถูกกวาดล้างอย่างถึงลูกถึงคน แต่...ที่อุทัยธานี แม้จะมีการสนธิกำลังทหารตำรวจอย่างคึกคัก บ้านเป้าหมายกลับไม่มี“รังใหญ่”นักการเมืองดังอยู่ในบัญชีรายชื่อ

กลายเป็นการบุกค้นบ้านเจ้าพ่อเงินกู้รายหนึ่งที่โด่งดังระดับประเทศ ต่างจากนายชาดา ที่วันนี้ดูเหมือนว่าจะหลุดจากรายชื่อผู้มีอิทธิพลไปแล้ว

ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงย้อนกลับไปดูบรรยากาศงานวิวาห์ลูกสาวสุดที่รักของนักการเมืองคนดังแห่งเมืองอุทัยธานี ซึ่งถือเป็นงานใหญ่มีแขกเหรื่อระดับประเทศเดินทางไปร่วมงานกันอย่างคึกคัก แต่ที่สะดุดตาสะดุดใจมากที่สดก็คือ โต๊ะรับรองโต๊ะหนึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย นั่งคุยอย่างออกรสกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
 
มีคนถอดรหัส 2 เหตุการณ์ กลั่นเป็นคำตอบในอนาคตว่า ในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะถึงนี้ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ คงจะต้องเปลี่ยนสังกัดพรรคการเมืองอย่างแน่นอน

ส่วนชะตากรรม และบริวารว่านเครือของนายไชยา สะสมทรัพย์ เมื่อดูความเป็นไป รวมทั้งบทสัมภาษณ์ในอดีตเมื่อคราวเป็น รมว.สาธารณสุข ก็คงพอเดาออก

เขาเปิดอกยอมรับว่า ที่ได้ดีเป็นรัฐมนตรีก็เพราะทักษิณ ชินวัตร เป็นคนให้

“ผมไม่ใช่นักเลงแต่ผมไม่กลัวคน ชีวิตเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียว ไม่เคยคิดว่าคนจะต้องตาย 2 ครั้ง นิสัยของผมคือ ไม่เปิดโอกาสให้ใครมามีบุญคุณกับผม เพราะโดยนิสัยเมื่อใครมีบุญคุณกับผม แผ่นดินกลบหน้าเมื่อไหร่ ถึงจะหมดบุญคุณ” 

ชัดเจนเสียขนาดนี้... นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล หรือสยบอหังการนักการเมือง (ไทย) แทบจะแยกไม่ออกเลยจริงๆ



กำลังโหลดความคิดเห็น