“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“กินน้อยตายช้า กินมากตายเร็ว” คำนี้ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม หรือ ใช้ได้กับทั้งฆราวาสและสงฆ์
ยิ่งถ้า “กิน” หมายถึง นักการเมืองกับข้าราชการชั่ว “คอร์รัปชั่น-โกงชาติ” หรือพวกอลัชชีกับแก๊งโล้นต้มตุ๋น ที่แฝงตัวอยู่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ศาสนาและผ้าเหลืองบังหน้า หลอกลวงเงินทองทรัพย์สินจากพุทธบริษัท ทำให้พุทธบริษัทให้หลงเชื่อ ในสิ่งที่มิใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
การทำชั่วดังกล่าวข้างต้น ทั้งของ “แก๊งฆราวาสเลว” และ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ไม่ว่าจะ “กินน้อย-กินมาก-กินมโหฬาร” ที่เป็นโกงกินชาติและโกงกินพุทธบริษัท โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและโฉ่งฉ่างฉาวโฉ่ จนถูกจับได้คาหนังคาเขานั้น ถือเป็นการกระทำอันบังอาจเหิมเกริม ไร้คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม อันจะทำให้มนุษย์ที่เป็น “แก๊งฆราวาส” และ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ตายเร็ว หรือ “สูญเสียความเป็นคน” เร็วกว่าเวลาอันควรทั้งสิ้น!
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีตตราบปัจจุบัน และคงจะสืบเนื่องต่อไปจนถึงอนาคต เพราะวิธีบริหารชาติไทยของรัฐบาลเผด็จการทหาร ที่มี “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี มานานเกือบสองปีนั้น ดูท่าชาติไทยจะยังคงวนเวียน จมปลักอยู่ใน “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ดังนี้
นับหนึ่ง-ด้วยการเลือกตั้งสกปรก! ตามด้วยสอง-ด้วยการมีรัฐบาลยึดอำนาจรัฐด้วยเงินที่โกงชาติ (จนประชาชนทนไม่ไหว-ต้องออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทำให้รัฐบาลจำต้องยุบสภา กลับมานับหนึ่งทางการเมืองกันใหม่ ด้วยการเลือกตั้งสกปรกอีกครา)
หรือเกิดเหตุให้ต้องนับ สาม-ด้วยการมี “ขุนทหารกลุ่มหนึ่ง” ฉวยโอกาส ยกกำลังทหารออกมาทำรัฐประหาร ทำการโค่นล้มรัฐบาลโกงชาติ ที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ด้วยการเป็น “รัฐบาลเผด็จการทหาร” เข้าบริหารชาติแทน แต่ก็ทำให้การเมืองของชาติไทยที่ผ่านมา ตกอยู่ในสภาพการณ์ “หนีเสือปะจรเข้” กลายเป็นเรื่อง “สมบัติชาติผลัดกันโกง” วนเวียนอยู่ในความมืดมนอนธการ!
รัฐบาลเผด็จการทหาร มีอำนาจเต็มมือ แต่ไม่มีการขจัดต้นเหตุปัญหาชาติ ให้หมดสิ้นไปแต่ประการใดเลย เพราะรัฐบาลเผด็จการทหารจะยุติบทบาทตนเอง ด้วยการ “จัดให้มีการเลือกตั้งสกปรก” ครั้งใหม่ และเริ่มการนับ “เลขหนึ่ง” อีกครั้งนั่นเอง
ดังนั้น ชาติไทยจึงเป็น “นิยายการเมืองน้ำเน่า” ที่มีตัวเลขวนเวียนซ้ำซากอยู่แค่ เลขหนึ่ง-สอง-สามเท่านั้น ไม่เคยมีอะไรใหม่ๆทางการเมือง อันจะเป็นความหวังที่ก่อเกิดผลดี ให้กับชาติและประชาชนใดๆเลย
แต่ที่น่าขยะแขยงแบบสุดๆ คือ รัฐบาลทุกรูปแบบในอดีต ที่ชอบอ้างเหมือนๆกันว่า รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นอกจากจะไม่ทำการปฏิรูปชาติไทยทุกภาคส่วนแล้ว “อำนาจ-เงินทอง-ลาภยศ” มักทำให้ “ขุนทหาร” บางคนที่ได้เป็นใหญ่ทางการเมือง เกิดกิเลส จนกลายเป็นรัฐบาลที่ “โกงกินชาติแบบตามน้ำ ” และ “โกงกินชาติแบบทวนน้ำ” มาโดยตลอด เช่น
รัฐบาลที่ยึดอำนาจรัฐด้วยปืน-ที่ผ่านมาก็ใช่ย่อย แม้จะโกงไม่มากมายเท่ารัฐบาลใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง แต่ก็มีการโกงมากบ้างน้อยบ้างเช่นกัน
อยากสืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อ โดยใช้วิธีการน้ำเน่าที่เคยล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่าอีก นั่นคือ ใช้นักการเมืองชั่วที่ตนทำรัฐประหารโค่นล้ม ให้มาเป็นฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
โดยขุนทหารบางคนที่หวังจะสืบทอดอำนาจ ต้องทำตามแผนกลุ่มนักการเมืองชั่ว ด้วยหวังจะเอาชนะทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง เพื่อผลักดันให้คณะรัฐประหารบางคน ได้จัดตั้งรัฐบาลและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นั่นทำให้รัฐบาลของคณะรัฐประหารที่ผ่านมา มิได้ขจัดนักการเมืองชั่วที่โกงชาติ และมิได้ขจัดการคอร์รัปชั่นโกงกินชาติอย่างจริงจัง ซ้ำร้ายกลับกลายเป็นตัวการโกงชาติเสียเอง ด้วยการเอื้อให้นักการเมืองชั่ว สุมหัวกันโกงชาติสารพัดโครงการ เพื่อนำเงินสกปรกเข้ากระเป๋าตนกับพวกพ้อง และสะสมไว้สำหรับซื้อเสียงการเลือกตั้งนั่นเอง
ทว่า..จากบทเรียนจริงทางการเมืองที่ผ่านมา ขุนทหารบางกลุ่มที่ทำรัฐประหาร ก็ได้สืบทอดอำนาจสมดังใจปรารถนา ได้ตั้งรัฐบาลและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็มักอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน บางคนได้เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ 40 กว่าวัน แม้จะมีกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ก็ตาม
อีกทั้งเป็นรัฐบาลแปลงร่างจากเผด็จการทหาร มาเป็นรัฐบาลใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ที่มิได้ทำเพื่อชาติเช่นกัน เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมที่เต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว ซึ่งเคยร่วมอยู่ในรัฐบาลปล้นชาติปล้นประชาชน ที่โดนโค่นล้มโดยคณะรัฐประหารนั่นเอง
ดังนั้น นักการเมืองชั่วโดยสันดานเหล่านั้น จึงมุ่งฉกฉวยแต่ผลประโยชน์ใส่ตน และพวกพ้องกันอุตลุดจนฉาวโฉ่ ทำให้รัฐบาลที่ “ขุนทหารกุมบังเหียน” กลายเป็นรัฐบาลสามานย์ ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นโกงชาติ
ทำให้ “คณะรัฐประหาร” ที่ผ่านมา ถูกจารึกอย่างเสียๆหายๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า เป็นการทำรัฐประหาร “เสียของ-ท่าดีทีเหลว-มวยล้มต้มคนดู-เยี่ยวไม่สุด” เป็นรัฐประหารที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะไม่ได้ใช้อำนาจพิเศษแก้ต้นเหตุปัญหาของชาติ หรือไม่ได้ทำรัฐประหารเพื่อชาติเพื่อประชาชนนั่นเอง
ดังนั้น ใครก็ตามที่มี “อำนาจพิเศษอยู่ในกำมือ” แล้ว กลับ “เพ้อเจ้อ” จะให้รัฐบาลที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เป็นคนทำการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนนั้น ต้องถือว่า “ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติ”โดยสิ้นเชิง
ส่วน “รัฐบาลยึดอำนาจด้วยเงิน” นั้น เพราะใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง จึงต้องทำทุกวิธีการเพื่อถอนทุนบวกกำไร ให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ดังยุครัฐบาล “เหลี่ยม” กับเครือข่าย ได้รับฉายาเป็นรัฐบาล “โคตรโกง-โกงทั้งโคตร” ได้โกงเงินชาติไปหลายแสนล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่ปี
แค่นายกฯ “เหลี่ยม” คนเดียว ก็ถูกศาลฯไทยสั่งยึดเงินมากกว่า 46,000 ล้านบาท และถูกรัฐบาลในยุโรปอายัดทรัพย์มากกว่า 120,000 ล้านบาทอีกด้วย
เรียกว่า..ทุกรัฐบาลทหารที่ผ่านมา โกงชาติไม่เก่งเท่ารัฐบาลเหลี่ยม เพียงสี่-ห้าปี ก็สวาปามเงินชาติสบายใจเฉิบไปหลายแสนล้านบาท!
ที่ชั่วช้าสามานย์อย่างยิ่ง คือ รัฐบาล “เหลี่ยม” ที่ยึดอำนาจรัฐด้วยเงิน ได้สนับสนุนให้เกิดขบวนการ “ล้มเจ้า” และทำให้อาณาจักรชาติไทยเกิดเหตุจลาจล ทั้งเผาบ้านเผาเมืองและใช้อาวุธสงคราม เข่นฆ่าทหารและประชาชนใจกลางกรุงเทพมหานคร
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง “เหลี่ยม” มีอำนาจล้นฟ้า ยังเป็นตัวการบ่อนทำลายศาสนาอีกด้วย นั่นคือ “เหลี่ยม” เป็นมิตรรักสุดสนิทสิเนหา ของ “แก๊งต้มตุ๋นโล้นจิ้งเหลือง” ณ “วัดจานบิน” ที่มีเงินล้นฟ้าและมีอิทธิพลคับวงการ “ผ้าเหลือง” ทั้งระดับ “เหลืองเล็ก-เหลืองกลาง-เหลืองใหญ่”
ความยิ่งใหญ่ของ “เจ้าอาละวาด ณ จานบิน” นั้น ทำตัวเหิมเกริมอยู่เหนือพระธรรมวินัย จนถึงขนาดกล้าบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า โดย“เจ้าอาละวาดจานบิน”ผู้นี้ อวดอุตริว่า ทุกคนไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วมากมายเพียงใด ถ้าบริจาคเงินให้“เจ้าอาละวาด” ก็สามารถเดินทางการไปสวรรค์ได้เลย
แถม “เจ้าอาละวาด” ยังมีสูตรลับเฉพาะ นั่นคือ คนร่ำรวยที่ให้เงินกับ “เจ้าอาละวาด” มากเป็นพิเศษ ก็จะได้ “ขี่จรวด” เดินทางขึ้นสวรรค์ชั้นพิเศษเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้น ทุกคนสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวสวรรค์ได้ ด้วยความรวดเร็วที่แตกต่างกัน ขึ้นกับจำนวนเงิน ว่าใครให้มากหรือน้อยกว่านั่นเอง
ที่หลอกลวงพุทธบริษัท บิดเบือนเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถือเป็นเรื่องชั่วช้าเลวทรามอย่างให้อภัยไม่ได้แล้ว
แต่ที่ชั่วร้ายชนิดต้องตกนรกขุมลึกสุด ก็คือ “แก๊งเหลี่ยม” กับ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ” นี่สิ.. จะประณามอย่างไรให้สาสมดีหว่า..??!!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“กินน้อยตายช้า กินมากตายเร็ว” คำนี้ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม หรือ ใช้ได้กับทั้งฆราวาสและสงฆ์
ยิ่งถ้า “กิน” หมายถึง นักการเมืองกับข้าราชการชั่ว “คอร์รัปชั่น-โกงชาติ” หรือพวกอลัชชีกับแก๊งโล้นต้มตุ๋น ที่แฝงตัวอยู่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ศาสนาและผ้าเหลืองบังหน้า หลอกลวงเงินทองทรัพย์สินจากพุทธบริษัท ทำให้พุทธบริษัทให้หลงเชื่อ ในสิ่งที่มิใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
การทำชั่วดังกล่าวข้างต้น ทั้งของ “แก๊งฆราวาสเลว” และ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ไม่ว่าจะ “กินน้อย-กินมาก-กินมโหฬาร” ที่เป็นโกงกินชาติและโกงกินพุทธบริษัท โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและโฉ่งฉ่างฉาวโฉ่ จนถูกจับได้คาหนังคาเขานั้น ถือเป็นการกระทำอันบังอาจเหิมเกริม ไร้คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม อันจะทำให้มนุษย์ที่เป็น “แก๊งฆราวาส” และ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ตายเร็ว หรือ “สูญเสียความเป็นคน” เร็วกว่าเวลาอันควรทั้งสิ้น!
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีตตราบปัจจุบัน และคงจะสืบเนื่องต่อไปจนถึงอนาคต เพราะวิธีบริหารชาติไทยของรัฐบาลเผด็จการทหาร ที่มี “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี มานานเกือบสองปีนั้น ดูท่าชาติไทยจะยังคงวนเวียน จมปลักอยู่ใน “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ดังนี้
นับหนึ่ง-ด้วยการเลือกตั้งสกปรก! ตามด้วยสอง-ด้วยการมีรัฐบาลยึดอำนาจรัฐด้วยเงินที่โกงชาติ (จนประชาชนทนไม่ไหว-ต้องออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทำให้รัฐบาลจำต้องยุบสภา กลับมานับหนึ่งทางการเมืองกันใหม่ ด้วยการเลือกตั้งสกปรกอีกครา)
หรือเกิดเหตุให้ต้องนับ สาม-ด้วยการมี “ขุนทหารกลุ่มหนึ่ง” ฉวยโอกาส ยกกำลังทหารออกมาทำรัฐประหาร ทำการโค่นล้มรัฐบาลโกงชาติ ที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ด้วยการเป็น “รัฐบาลเผด็จการทหาร” เข้าบริหารชาติแทน แต่ก็ทำให้การเมืองของชาติไทยที่ผ่านมา ตกอยู่ในสภาพการณ์ “หนีเสือปะจรเข้” กลายเป็นเรื่อง “สมบัติชาติผลัดกันโกง” วนเวียนอยู่ในความมืดมนอนธการ!
รัฐบาลเผด็จการทหาร มีอำนาจเต็มมือ แต่ไม่มีการขจัดต้นเหตุปัญหาชาติ ให้หมดสิ้นไปแต่ประการใดเลย เพราะรัฐบาลเผด็จการทหารจะยุติบทบาทตนเอง ด้วยการ “จัดให้มีการเลือกตั้งสกปรก” ครั้งใหม่ และเริ่มการนับ “เลขหนึ่ง” อีกครั้งนั่นเอง
ดังนั้น ชาติไทยจึงเป็น “นิยายการเมืองน้ำเน่า” ที่มีตัวเลขวนเวียนซ้ำซากอยู่แค่ เลขหนึ่ง-สอง-สามเท่านั้น ไม่เคยมีอะไรใหม่ๆทางการเมือง อันจะเป็นความหวังที่ก่อเกิดผลดี ให้กับชาติและประชาชนใดๆเลย
แต่ที่น่าขยะแขยงแบบสุดๆ คือ รัฐบาลทุกรูปแบบในอดีต ที่ชอบอ้างเหมือนๆกันว่า รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นอกจากจะไม่ทำการปฏิรูปชาติไทยทุกภาคส่วนแล้ว “อำนาจ-เงินทอง-ลาภยศ” มักทำให้ “ขุนทหาร” บางคนที่ได้เป็นใหญ่ทางการเมือง เกิดกิเลส จนกลายเป็นรัฐบาลที่ “โกงกินชาติแบบตามน้ำ ” และ “โกงกินชาติแบบทวนน้ำ” มาโดยตลอด เช่น
รัฐบาลที่ยึดอำนาจรัฐด้วยปืน-ที่ผ่านมาก็ใช่ย่อย แม้จะโกงไม่มากมายเท่ารัฐบาลใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง แต่ก็มีการโกงมากบ้างน้อยบ้างเช่นกัน
อยากสืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อ โดยใช้วิธีการน้ำเน่าที่เคยล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่าอีก นั่นคือ ใช้นักการเมืองชั่วที่ตนทำรัฐประหารโค่นล้ม ให้มาเป็นฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
โดยขุนทหารบางคนที่หวังจะสืบทอดอำนาจ ต้องทำตามแผนกลุ่มนักการเมืองชั่ว ด้วยหวังจะเอาชนะทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง เพื่อผลักดันให้คณะรัฐประหารบางคน ได้จัดตั้งรัฐบาลและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นั่นทำให้รัฐบาลของคณะรัฐประหารที่ผ่านมา มิได้ขจัดนักการเมืองชั่วที่โกงชาติ และมิได้ขจัดการคอร์รัปชั่นโกงกินชาติอย่างจริงจัง ซ้ำร้ายกลับกลายเป็นตัวการโกงชาติเสียเอง ด้วยการเอื้อให้นักการเมืองชั่ว สุมหัวกันโกงชาติสารพัดโครงการ เพื่อนำเงินสกปรกเข้ากระเป๋าตนกับพวกพ้อง และสะสมไว้สำหรับซื้อเสียงการเลือกตั้งนั่นเอง
ทว่า..จากบทเรียนจริงทางการเมืองที่ผ่านมา ขุนทหารบางกลุ่มที่ทำรัฐประหาร ก็ได้สืบทอดอำนาจสมดังใจปรารถนา ได้ตั้งรัฐบาลและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็มักอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน บางคนได้เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ 40 กว่าวัน แม้จะมีกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ก็ตาม
อีกทั้งเป็นรัฐบาลแปลงร่างจากเผด็จการทหาร มาเป็นรัฐบาลใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ที่มิได้ทำเพื่อชาติเช่นกัน เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมที่เต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว ซึ่งเคยร่วมอยู่ในรัฐบาลปล้นชาติปล้นประชาชน ที่โดนโค่นล้มโดยคณะรัฐประหารนั่นเอง
ดังนั้น นักการเมืองชั่วโดยสันดานเหล่านั้น จึงมุ่งฉกฉวยแต่ผลประโยชน์ใส่ตน และพวกพ้องกันอุตลุดจนฉาวโฉ่ ทำให้รัฐบาลที่ “ขุนทหารกุมบังเหียน” กลายเป็นรัฐบาลสามานย์ ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นโกงชาติ
ทำให้ “คณะรัฐประหาร” ที่ผ่านมา ถูกจารึกอย่างเสียๆหายๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า เป็นการทำรัฐประหาร “เสียของ-ท่าดีทีเหลว-มวยล้มต้มคนดู-เยี่ยวไม่สุด” เป็นรัฐประหารที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะไม่ได้ใช้อำนาจพิเศษแก้ต้นเหตุปัญหาของชาติ หรือไม่ได้ทำรัฐประหารเพื่อชาติเพื่อประชาชนนั่นเอง
ดังนั้น ใครก็ตามที่มี “อำนาจพิเศษอยู่ในกำมือ” แล้ว กลับ “เพ้อเจ้อ” จะให้รัฐบาลที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เป็นคนทำการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนนั้น ต้องถือว่า “ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติ”โดยสิ้นเชิง
ส่วน “รัฐบาลยึดอำนาจด้วยเงิน” นั้น เพราะใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง จึงต้องทำทุกวิธีการเพื่อถอนทุนบวกกำไร ให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ดังยุครัฐบาล “เหลี่ยม” กับเครือข่าย ได้รับฉายาเป็นรัฐบาล “โคตรโกง-โกงทั้งโคตร” ได้โกงเงินชาติไปหลายแสนล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่ปี
แค่นายกฯ “เหลี่ยม” คนเดียว ก็ถูกศาลฯไทยสั่งยึดเงินมากกว่า 46,000 ล้านบาท และถูกรัฐบาลในยุโรปอายัดทรัพย์มากกว่า 120,000 ล้านบาทอีกด้วย
เรียกว่า..ทุกรัฐบาลทหารที่ผ่านมา โกงชาติไม่เก่งเท่ารัฐบาลเหลี่ยม เพียงสี่-ห้าปี ก็สวาปามเงินชาติสบายใจเฉิบไปหลายแสนล้านบาท!
ที่ชั่วช้าสามานย์อย่างยิ่ง คือ รัฐบาล “เหลี่ยม” ที่ยึดอำนาจรัฐด้วยเงิน ได้สนับสนุนให้เกิดขบวนการ “ล้มเจ้า” และทำให้อาณาจักรชาติไทยเกิดเหตุจลาจล ทั้งเผาบ้านเผาเมืองและใช้อาวุธสงคราม เข่นฆ่าทหารและประชาชนใจกลางกรุงเทพมหานคร
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง “เหลี่ยม” มีอำนาจล้นฟ้า ยังเป็นตัวการบ่อนทำลายศาสนาอีกด้วย นั่นคือ “เหลี่ยม” เป็นมิตรรักสุดสนิทสิเนหา ของ “แก๊งต้มตุ๋นโล้นจิ้งเหลือง” ณ “วัดจานบิน” ที่มีเงินล้นฟ้าและมีอิทธิพลคับวงการ “ผ้าเหลือง” ทั้งระดับ “เหลืองเล็ก-เหลืองกลาง-เหลืองใหญ่”
ความยิ่งใหญ่ของ “เจ้าอาละวาด ณ จานบิน” นั้น ทำตัวเหิมเกริมอยู่เหนือพระธรรมวินัย จนถึงขนาดกล้าบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า โดย“เจ้าอาละวาดจานบิน”ผู้นี้ อวดอุตริว่า ทุกคนไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วมากมายเพียงใด ถ้าบริจาคเงินให้“เจ้าอาละวาด” ก็สามารถเดินทางการไปสวรรค์ได้เลย
แถม “เจ้าอาละวาด” ยังมีสูตรลับเฉพาะ นั่นคือ คนร่ำรวยที่ให้เงินกับ “เจ้าอาละวาด” มากเป็นพิเศษ ก็จะได้ “ขี่จรวด” เดินทางขึ้นสวรรค์ชั้นพิเศษเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้น ทุกคนสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวสวรรค์ได้ ด้วยความรวดเร็วที่แตกต่างกัน ขึ้นกับจำนวนเงิน ว่าใครให้มากหรือน้อยกว่านั่นเอง
ที่หลอกลวงพุทธบริษัท บิดเบือนเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถือเป็นเรื่องชั่วช้าเลวทรามอย่างให้อภัยไม่ได้แล้ว
แต่ที่ชั่วร้ายชนิดต้องตกนรกขุมลึกสุด ก็คือ “แก๊งเหลี่ยม” กับ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ” นี่สิ.. จะประณามอย่างไรให้สาสมดีหว่า..??!!!