นักวิทยาศาสตร์นามกระเดื่องโลก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวถึงเหตุและผลไว้ว่า “คงเสียสติไปแล้ว ที่ทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วคาดหวังผลรับที่แตกต่างออกไป!”
ดังนั้น งานนี้จึงต้องฟ้อง “ท่านไอน์สไตน์” ที่ดวงวิญญาณอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งได้รู้ว่า ชาติไทยมี “กลุ่มคนเสียสติ” ที่ทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่หวังจะได้ผลรับที่ดีแตกต่างจากเดิม ซึ่งไม่เคยเป็นจริงดังหวังมานานหลายสิบปีแล้ว นั่นคือ
ผู้นำชาติไทย-ทำแต่เรื่องซ้ำซากทางการเมือง โดยระบุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง (ซึ่งไม่เคยบริสุทธิ์ยุติธรรม) เพราะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในชาติไทย คนชั่วจะใช้เงินมหาศาลซื้อเสียงและโกงสารพัดวิธี จนกลุ่มคนชั่วสามารถยึดอำนาจรัฐ ไปใช้ทำการคอร์รัปชันโกงกินชาติได้ตลอด
โดยเฉพาะการเมืองไทยช่วงสิบปีกว่าที่ผ่านมา ชาติไทยได้ผู้นำชั่วช้าสามานย์ ที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง จนชาติไทยต้องจมปลักอยู่ในวิกฤตชั่วร้ายมาจนทุกวันนี้
ความซ้ำซากที่ซ้ำรอยเดิม คือ ประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลชั่วโกงชาติ ออกมาขับไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามด้วยผู้นำทหารกลุ่มหนึ่งออกมาทำรัฐประหาร ใช้ปืนยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลชั่วโกงชาติ แต่ไม่ได้ทำการปฏิรูประบบเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการปฏิรูปขจัดการคอร์รัปชันชาติให้หมดไป ไม่มีการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนให้ดีขึ้นอย่างจริงจัง ฯลฯ
ความซ้ำซากจำเจจึงวนเวียนอยู่กับเรื่อง รัฐบาลที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งโกงชาติ-ถูกโค่นลง แต่รัฐบาลที่ใช้ปืนแย่งยึดอำนาจรัฐมาได้-ก็จัดให้เลือกตั้งใหม่อีก ชาติไทยจึงเกิดวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมิสิ้นสุด
รัฐบาลทั้งสองรูปแบบนี้ ได้ทำให้ “การเมืองชาติไทย” กลายเป็นเรื่อง “สมบัติผลัดกันชม” หรือ “สมบัติผลัดกันโกง” ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อยมา
แต่ผู้นำชาติบางคนที่ไม่ยอมรับความจริง ได้เหมารวมอย่างชั่วช้าสามานย์ว่า พวกรัฐบาลชั่วโกงชาติ กับ ขบวนการคนไทยที่ขับไล่รัฐบาลชั่วโกงชาติ เป็นคนไทยที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกัน จนทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดความแตกแยก ดังนั้น คนทั้งสองฝ่ายนี้แหละ...เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเหมือนกัน
ผู้ครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือ จึงพยายามทำเรื่องผิดอย่างมหันต์ ด้วยการให้คนชั่วที่ยังไม่กลับตัวกลับใจ กับ คนดีผู้รักชาติต้องให้อภัยกันและกัน คนดีต้องลืมเรื่องคนชั่วที่ทำชั่วมากมาย ต่อชาติบ้านเมืองในอดีตทันที เพื่อจะได้ “จูบปากรักกันไว้เถิด” ได้สนิทใจ และสมานฉันท์-ความชั่วกับความดีให้เป็นหนึ่งเดียว
เชื่อไหมครับ “ท่านไอน์สไตน์”... ผู้นำรัฐไทยบางคน ไม่สนใจเรื่องถูกเรื่องผิดใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว ผู้นำชาติบางคนต้องการแค่ผลประโยชน์ทางการเมือง หรือ“ความสงบ (จอมปลอม) ภายในชาติ” ชั่วคราวเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานระดับโลก เยี่ยง “ท่านไอน์สไตน์” และผู้มีธรรมในใจ ย่อมไม่ยอมดื่มกินน้ำสะอาดผสมน้ำครำแน่นอน และคงด่าคนยกแก้วที่มีน้ำสกปรกแบบนี้ มาให้ดื่มให้กินจนเตลิดเปิดเปิงไปเลย...จริงไหม?
“ท่านไอน์สไตน์” และผู้คนทั้งโลกรู้ว่า หากมี “น้ำครำ” ทั่วทั้งโลก-คนและโลกคงอยู่ไม่ได้! ดังนั้น โลกที่เจริญแล้วจึงต้องกำจัด “น้ำครำ” ให้หมดไป หรือเหลือน้อยที่สุด และต้องควบคุม “น้ำครำ” ให้อยู่ในปริมาณและขอบเขต ที่ไม่เป็นพิษภัยต่อคนและโลกด้วย...ใช่ไหม...?
ถ้าเปรียบ “น้ำครำ” คือ “คนชั่ว” ผู้นำดีที่รักชาติจริงและมีอำนาจรัฐในกำมือ ต้องรีบกำจัดและกีดกัน “คนชั่ว” มิให้ขึ้นปกครองชาติได้โดยเด็ดขาด เพื่อ “คนชั่ว” จะใช้อำนาจรัฐโกงชาติไม่ได้อีกต่อไป
เรียกว่า...ต้องทำให้ในแก้วน้ำ มีแต่น้ำสะอาดที่ดื่มกินได้เท่านั้น และต้องไม่ให้น้ำครำแม้เพียงหยดเดียว หลุดเข้าไปเจือปนกับน้ำสะอาดอย่างเด็ดขาด...จริงไหม?
“ท่านไอน์สไตน์” ครับ... มันเป็นเรื่องน่าอเนจอนาถ ที่ชาติไทยมีผู้นำไทยบางคนเสียสติอยู่เนืองนิจ เพราะได้เทน้ำครำที่ปนกับน้ำสะอาดในแก้วทิ้งไปแล้ว ทว่า...แทนที่จะรินแต่น้ำสะอาดใส่ลงไปในแก้ว เพื่อจะได้ดื่มกินให้ร่างกายสดชื่นโดยถูกหลักสุขอนามัย
แต่ท่านผู้นำชาติไทยเองนั่นแหละ กลับเป็นคนที่เท “น้ำครำ” ใส่แก้วผสมกับ “น้ำสะอาด” อีก ซึ่งใครดื่มน้ำสกปรกแก้วนี้จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ท่านผู้นำชาติก็ดันทุรังยื่น “น้ำเน่าแก้วนี้” ให้ผู้คนดื่มกินเรื่อยมา...
โดยท่านผู้นำชาติไทยโฆษณาชวนเชื่ออย่างไร้เหตุผลว่า “น้ำครำ” กับ “น้ำสะอาด” เป็น “น้ำเหมือนกัน!!!”
“ท่านไอน์สไตน์”...ทำไมคนไทยจึงโชคร้ายเช่นนี้? คนไทยต้องดื่มกิน “น้ำครำ” ผสม “น้ำสะอาด” ที่เป็น “น้ำเน่า” ซ้ำๆ ซากๆ มานานหลายสิบปี โดยตัวท่านผู้นำชาติไทย คือ “ผู้ปรุงน้ำสกปรกเป็นพิษ” นี้ ให้คนไทยทั้งชาติต้องดื่มกิน โดยอ้างผลรับที่เป็นไปไม่ได้ว่า “น้ำเน่า” นี้จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีเหนือใครในใต้หล้า...?
“ท่านไอน์สไตน์” ครับ...ช่วยหยุด “ผู้นำชาติไทย” อย่าได้ “เสียสติ” ทำเรื่องชั่วร้ายซ้ำซากเช่นนี้ได้ไหม...?
ดังนั้น งานนี้จึงต้องฟ้อง “ท่านไอน์สไตน์” ที่ดวงวิญญาณอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งได้รู้ว่า ชาติไทยมี “กลุ่มคนเสียสติ” ที่ทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่หวังจะได้ผลรับที่ดีแตกต่างจากเดิม ซึ่งไม่เคยเป็นจริงดังหวังมานานหลายสิบปีแล้ว นั่นคือ
ผู้นำชาติไทย-ทำแต่เรื่องซ้ำซากทางการเมือง โดยระบุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง (ซึ่งไม่เคยบริสุทธิ์ยุติธรรม) เพราะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในชาติไทย คนชั่วจะใช้เงินมหาศาลซื้อเสียงและโกงสารพัดวิธี จนกลุ่มคนชั่วสามารถยึดอำนาจรัฐ ไปใช้ทำการคอร์รัปชันโกงกินชาติได้ตลอด
โดยเฉพาะการเมืองไทยช่วงสิบปีกว่าที่ผ่านมา ชาติไทยได้ผู้นำชั่วช้าสามานย์ ที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง จนชาติไทยต้องจมปลักอยู่ในวิกฤตชั่วร้ายมาจนทุกวันนี้
ความซ้ำซากที่ซ้ำรอยเดิม คือ ประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลชั่วโกงชาติ ออกมาขับไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามด้วยผู้นำทหารกลุ่มหนึ่งออกมาทำรัฐประหาร ใช้ปืนยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลชั่วโกงชาติ แต่ไม่ได้ทำการปฏิรูประบบเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการปฏิรูปขจัดการคอร์รัปชันชาติให้หมดไป ไม่มีการปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนให้ดีขึ้นอย่างจริงจัง ฯลฯ
ความซ้ำซากจำเจจึงวนเวียนอยู่กับเรื่อง รัฐบาลที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งโกงชาติ-ถูกโค่นลง แต่รัฐบาลที่ใช้ปืนแย่งยึดอำนาจรัฐมาได้-ก็จัดให้เลือกตั้งใหม่อีก ชาติไทยจึงเกิดวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมิสิ้นสุด
รัฐบาลทั้งสองรูปแบบนี้ ได้ทำให้ “การเมืองชาติไทย” กลายเป็นเรื่อง “สมบัติผลัดกันชม” หรือ “สมบัติผลัดกันโกง” ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อยมา
แต่ผู้นำชาติบางคนที่ไม่ยอมรับความจริง ได้เหมารวมอย่างชั่วช้าสามานย์ว่า พวกรัฐบาลชั่วโกงชาติ กับ ขบวนการคนไทยที่ขับไล่รัฐบาลชั่วโกงชาติ เป็นคนไทยที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกัน จนทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดความแตกแยก ดังนั้น คนทั้งสองฝ่ายนี้แหละ...เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเหมือนกัน
ผู้ครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือ จึงพยายามทำเรื่องผิดอย่างมหันต์ ด้วยการให้คนชั่วที่ยังไม่กลับตัวกลับใจ กับ คนดีผู้รักชาติต้องให้อภัยกันและกัน คนดีต้องลืมเรื่องคนชั่วที่ทำชั่วมากมาย ต่อชาติบ้านเมืองในอดีตทันที เพื่อจะได้ “จูบปากรักกันไว้เถิด” ได้สนิทใจ และสมานฉันท์-ความชั่วกับความดีให้เป็นหนึ่งเดียว
เชื่อไหมครับ “ท่านไอน์สไตน์”... ผู้นำรัฐไทยบางคน ไม่สนใจเรื่องถูกเรื่องผิดใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว ผู้นำชาติบางคนต้องการแค่ผลประโยชน์ทางการเมือง หรือ“ความสงบ (จอมปลอม) ภายในชาติ” ชั่วคราวเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานระดับโลก เยี่ยง “ท่านไอน์สไตน์” และผู้มีธรรมในใจ ย่อมไม่ยอมดื่มกินน้ำสะอาดผสมน้ำครำแน่นอน และคงด่าคนยกแก้วที่มีน้ำสกปรกแบบนี้ มาให้ดื่มให้กินจนเตลิดเปิดเปิงไปเลย...จริงไหม?
“ท่านไอน์สไตน์” และผู้คนทั้งโลกรู้ว่า หากมี “น้ำครำ” ทั่วทั้งโลก-คนและโลกคงอยู่ไม่ได้! ดังนั้น โลกที่เจริญแล้วจึงต้องกำจัด “น้ำครำ” ให้หมดไป หรือเหลือน้อยที่สุด และต้องควบคุม “น้ำครำ” ให้อยู่ในปริมาณและขอบเขต ที่ไม่เป็นพิษภัยต่อคนและโลกด้วย...ใช่ไหม...?
ถ้าเปรียบ “น้ำครำ” คือ “คนชั่ว” ผู้นำดีที่รักชาติจริงและมีอำนาจรัฐในกำมือ ต้องรีบกำจัดและกีดกัน “คนชั่ว” มิให้ขึ้นปกครองชาติได้โดยเด็ดขาด เพื่อ “คนชั่ว” จะใช้อำนาจรัฐโกงชาติไม่ได้อีกต่อไป
เรียกว่า...ต้องทำให้ในแก้วน้ำ มีแต่น้ำสะอาดที่ดื่มกินได้เท่านั้น และต้องไม่ให้น้ำครำแม้เพียงหยดเดียว หลุดเข้าไปเจือปนกับน้ำสะอาดอย่างเด็ดขาด...จริงไหม?
“ท่านไอน์สไตน์” ครับ... มันเป็นเรื่องน่าอเนจอนาถ ที่ชาติไทยมีผู้นำไทยบางคนเสียสติอยู่เนืองนิจ เพราะได้เทน้ำครำที่ปนกับน้ำสะอาดในแก้วทิ้งไปแล้ว ทว่า...แทนที่จะรินแต่น้ำสะอาดใส่ลงไปในแก้ว เพื่อจะได้ดื่มกินให้ร่างกายสดชื่นโดยถูกหลักสุขอนามัย
แต่ท่านผู้นำชาติไทยเองนั่นแหละ กลับเป็นคนที่เท “น้ำครำ” ใส่แก้วผสมกับ “น้ำสะอาด” อีก ซึ่งใครดื่มน้ำสกปรกแก้วนี้จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ท่านผู้นำชาติก็ดันทุรังยื่น “น้ำเน่าแก้วนี้” ให้ผู้คนดื่มกินเรื่อยมา...
โดยท่านผู้นำชาติไทยโฆษณาชวนเชื่ออย่างไร้เหตุผลว่า “น้ำครำ” กับ “น้ำสะอาด” เป็น “น้ำเหมือนกัน!!!”
“ท่านไอน์สไตน์”...ทำไมคนไทยจึงโชคร้ายเช่นนี้? คนไทยต้องดื่มกิน “น้ำครำ” ผสม “น้ำสะอาด” ที่เป็น “น้ำเน่า” ซ้ำๆ ซากๆ มานานหลายสิบปี โดยตัวท่านผู้นำชาติไทย คือ “ผู้ปรุงน้ำสกปรกเป็นพิษ” นี้ ให้คนไทยทั้งชาติต้องดื่มกิน โดยอ้างผลรับที่เป็นไปไม่ได้ว่า “น้ำเน่า” นี้จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีเหนือใครในใต้หล้า...?
“ท่านไอน์สไตน์” ครับ...ช่วยหยุด “ผู้นำชาติไทย” อย่าได้ “เสียสติ” ทำเรื่องชั่วร้ายซ้ำซากเช่นนี้ได้ไหม...?
