จะเป็น “คนฉลาด” ที่ “ดี” หรือ “ขี้โกง” ล่ะ?
ท่านพุทธทาสกับธรรมาจารย์ทั้งหลาย ระบุว่า ภาษาธรรมของพระพุทธเจ้านั้นทวนกระแสกิเลส!
เพราะ “กิเลส” คือ “สิ่งชั่วร้าย” ที่ฝังตัวอยู่ในความคิดของมนุษย์ นำไปสู่การทำชั่วได้สารพัดรูปแบบ
มนุษย์-ในสังคมไทยถูกสั่งสอนบ่มเพาะ ทั้งจากพ่อ-แม่-ครู-อาจารย์-พระสงฆ์ ฯลฯ ให้ทำแต่ความดี
มนุษย์-อาชีพนักการเมือง ต้องมีคุณธรรมมากกว่าคนทั่วไป เพราะต้องบริหารเงินและผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งต้องกำกับอำนาจรัฐให้เกิดความยุติธรรม โดยยึดคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นที่ตั้ง ฯลฯ
ส่วนมนุษย์-ที่ตัดสินใจละทางโลก มาบวชเป็น “พระสงฆ์” มุ่งเดินตามรอยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อไปสู่หนทางหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
พระสงฆ์-จึงต้องมีศีลธรรมขั้นสูงสุด ต้องรู้ธรรม-ปฏิบัติธรรม-เผยแพร่ธรรม ให้มวลมนุษย์ได้นำไปคิดไปปฏิบัติ เพื่อหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ด้วยธรรมอันถูกต้อง
แต่ด้วยมนุษย์มี “บัวสี่เหล่า” มีทั้ง บัวในตม-บัวใต้น้ำ-บัวปริ่มน้ำ-บัวพ้นน้ำ ทำให้ความรู้ทางธรรมมีทั้ง ผู้หลุดพ้น-ผู้ใกล้จะหลุดพ้น-ผู้ไม่หลุดพ้น-ผู้ไม่มีวันจะหลุดพ้น…
พระสงฆ์-จึงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกในสังคมไทย ที่ต้องมีศีลธรรมขั้นสูงสุด-ต้องมีปัญญารู้ทันต่อกิเลส-ต้องมีจิตเข้มแข็งเอาชนะกิเลสทั้งปวง และต้องเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
หัวใจของพระสงฆ์ที่แท้จริง คือ พระธรรมวินัย 227 ข้อ หากพระสงฆ์รูปใดวัดใด ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยดังกล่าวไม่ได้ ย่อมมิใช่พระสงฆ์ที่แท้จริง!
ส่วน “โล้นห่มเหลือง” ที่เป็นเดียรถีย์ กับ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า หากินด้วย “พุทธพาณิชย์” และ “ต้มตุ๋น” ผู้คน ว่าใช้เงินซื้อบุญและไปสวรรค์ได้แทนการทำดี ยิ่งถ้าให้เงิน “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” เยอะขึ้น ก็จะได้บุญเยอะขึ้นกับไปสวรรค์ได้เร็วยิ่งขึ้น ฯลฯ อันมิใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
ดังนั้น พุทธบริษัทที่ดีในสังคมไทย จึงต้องจำแนกแยกแยะไว้ ณ ที่นี้ว่า
พระสงฆ์แท้จริง-คือ-ธรรมะ! พระสงฆ์-ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อ จมปลักอยู่ในกิเลสแห่งอำนาจลาภยศเงินทอง-คือ-พระสงฆ์กำมะลอ-พระสงฆ์จอมปลอม!
มนุษย์ทุกสังคมล้วนมี “บัวสี่เหล่า” ทั้งสิ้น “บัวปริ่มน้ำ” กับ “บัวพ้นน้ำ” เป็นคนส่วนน้อย ส่วน “บัวในตม” และ “บัวใต้น้ำ” เป็นคนส่วนมาก “บัว” สองเหล่านี้ไม่รู้ทันในเล่ห์ร้าย จึงเป็นเหยื่อให้ “กลุ่มคนชั่ว” หลอกลวง-ต้มตุ๋น-เอาเปรียบเรื่อยมา
“ท่านพุทธทาส” ได้พูดสั้นๆ ถึง “ความฉลาด” ไว้ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” หน้า 264 ว่า
“เมื่อคนฉลาดไม่ใช้ธรรมะพัฒนาสัญชาตญาณ ก็จะทำผิดทำเลวได้อย่างสูงสุด”
ก่อนจะขยายความเพิ่มในหน้า 265 ว่า “การตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ก็ต้องทำด้วยจิตที่ปกติ ไม่ถูกรบกวนด้วยสัญชาตญาณอย่างกิเลส คือ สัญชาตญาณอย่างสัตว์ หรือเรียกว่าความรู้สึกฝ่ายต่ำ, สิ่งเหล่านี้อย่ามารบกวนจิตใจ, ให้จิตใจเป็นอิสระ แล้วทำอะไร จะตัดสินใจอะไร ก็จะตัดสินใจได้ถูกต้อง... ทีนี้ ถ้าพัฒนาสัญชาตญาณได้แล้ว มีสัญชาตญาณที่พัฒนาแล้ว, ปราศจากความรู้สึกตัวตนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็สามารถที่จะควบคุมความฉลาด. ฟังดูมันก็แปลกนะ ว่าความฉลาด เฉลียวฉลาดนั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม
ถ้าควบคุมไม่ได้ ความฉลาดนั่นแหละจะเกิดเป็นการทำผิด ทำเลวอย่างสูงสุดเพราะฉลาด, จึงพูดได้ว่า ความฉลาดนั้นไปเป็นพระอรหันต์ก็ได้, ความฉลาดนั้น ไปเป็นโจรมหาโจรอันร้ายกาจก็ได้, ถ้าควบคุมความฉลาดให้ถูกต้อง มันก็เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ก็ไปจบด้วยการเป็นพระอรหันต์,
ถ้าควบคุมความฉลาดไม่ได้ มันก็คดโกง มันก็คอร์รัปชัน มันก็ต้องหลีกออกจากสังคม... เป็นสิ่งที่ประหลาดอยู่ว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม. สติปัญญาตามธรรมดา ที่เรียกว่า สติปัญญาตามธรรมดานั้น ต้องควบคุม ; ถ้าไม่ควบคุมมันเดินผิดทาง.
ภาษาไทยนี้ออกจะลำบากว่าสติปัญญาใช้ได้ทั้งสองอย่าง ; สติปัญญาชนิดที่ยังไม่ปลอดภัยก็เรียกว่าสติปัญญา, สติปัญญาชนิดที่ปลอดภัยก็เรียกว่าสติปัญญา. เราจะต้องระวังกันให้ดีๆ ภาษาบาลีเขาแยกเรียกกันคนละอย่าง ; สติปัญญาชนิดเฉโก มันฉลาดเท่าไรๆ ก็ได้, แต่ถ้าปัญญาชนิด ปัญญาล้วน เป็นอธิปัญญา แล้วมันผิดพลาดไม่ได้.”
หนังสือยังพูดถึง ชีวิตคนเราที่มีด้านสว่างกับด้านมืด ธรรมะกับสัญชาตญาณ ไว้ว่า
“สัญชาตญาณเกิดได้เอง โดยธรรมชาติใส่ให้มากับชีวิต ส่วนการศึกษาปฏิบัติธรรมะ เป็นวิธีควบคุมสัญชาตญาณ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พัฒนาโพธิ เพื่อใช้ควบคุมสัญชาตญาณแล้วดับกิเลสได้
กิเลสกับโพธิ เป็นสัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มากับจิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์รู้ถูก-รู้ผิดได้ด้วยตัวของตัวเอง จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตคนเรามี 2 ด้าน คือ ; ด้านสว่างกับด้านมืด หากใช้สัญชาตญาณให้ความคิดเดินไปผิดทาง ก็เป็นกิเลส เป็นความมืด, แต่ถ้าใช้ธรรมะ เดินไปถูกทางก็เป็นโพธิ เป็นความสว่าง”
อืม... กิเลสแห่งลาภยศเงินทองนั้น-น่ากลัวจริงๆ นอกจากกิเลสได้สร้างนักการเมืองชั่วโกงชาติแล้ว ยังสร้าง “พระกำมะลอ-พระปลอม-เดียรถีย์-อลัชชี” จนมารศาสนายั้วเยี้ยเต็มไปหมดในวงการสงฆ์ไทย!!!
เอ๊ะ!...“บิ๊กตู่” จะขจัดมารศาสนาในวงการพระสงฆ์ไทย ทำพุทธศาสนาให้สะอาดได้ไหมเนี่ย...?
(ขอขอบคุณ-ผู้จัดทำ-จัดพิมพ์ หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ไว้ ณ ที่นี้...อ่านต่อวันพุธหน้า)
ท่านพุทธทาสกับธรรมาจารย์ทั้งหลาย ระบุว่า ภาษาธรรมของพระพุทธเจ้านั้นทวนกระแสกิเลส!
เพราะ “กิเลส” คือ “สิ่งชั่วร้าย” ที่ฝังตัวอยู่ในความคิดของมนุษย์ นำไปสู่การทำชั่วได้สารพัดรูปแบบ
มนุษย์-ในสังคมไทยถูกสั่งสอนบ่มเพาะ ทั้งจากพ่อ-แม่-ครู-อาจารย์-พระสงฆ์ ฯลฯ ให้ทำแต่ความดี
มนุษย์-อาชีพนักการเมือง ต้องมีคุณธรรมมากกว่าคนทั่วไป เพราะต้องบริหารเงินและผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งต้องกำกับอำนาจรัฐให้เกิดความยุติธรรม โดยยึดคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นที่ตั้ง ฯลฯ
ส่วนมนุษย์-ที่ตัดสินใจละทางโลก มาบวชเป็น “พระสงฆ์” มุ่งเดินตามรอยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อไปสู่หนทางหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
พระสงฆ์-จึงต้องมีศีลธรรมขั้นสูงสุด ต้องรู้ธรรม-ปฏิบัติธรรม-เผยแพร่ธรรม ให้มวลมนุษย์ได้นำไปคิดไปปฏิบัติ เพื่อหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ด้วยธรรมอันถูกต้อง
แต่ด้วยมนุษย์มี “บัวสี่เหล่า” มีทั้ง บัวในตม-บัวใต้น้ำ-บัวปริ่มน้ำ-บัวพ้นน้ำ ทำให้ความรู้ทางธรรมมีทั้ง ผู้หลุดพ้น-ผู้ใกล้จะหลุดพ้น-ผู้ไม่หลุดพ้น-ผู้ไม่มีวันจะหลุดพ้น…
พระสงฆ์-จึงเป็นมนุษย์กลุ่มแรกในสังคมไทย ที่ต้องมีศีลธรรมขั้นสูงสุด-ต้องมีปัญญารู้ทันต่อกิเลส-ต้องมีจิตเข้มแข็งเอาชนะกิเลสทั้งปวง และต้องเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
หัวใจของพระสงฆ์ที่แท้จริง คือ พระธรรมวินัย 227 ข้อ หากพระสงฆ์รูปใดวัดใด ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยดังกล่าวไม่ได้ ย่อมมิใช่พระสงฆ์ที่แท้จริง!
ส่วน “โล้นห่มเหลือง” ที่เป็นเดียรถีย์ กับ “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” ที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า หากินด้วย “พุทธพาณิชย์” และ “ต้มตุ๋น” ผู้คน ว่าใช้เงินซื้อบุญและไปสวรรค์ได้แทนการทำดี ยิ่งถ้าให้เงิน “แก๊งโล้นจิ้งเหลือง” เยอะขึ้น ก็จะได้บุญเยอะขึ้นกับไปสวรรค์ได้เร็วยิ่งขึ้น ฯลฯ อันมิใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
ดังนั้น พุทธบริษัทที่ดีในสังคมไทย จึงต้องจำแนกแยกแยะไว้ ณ ที่นี้ว่า
พระสงฆ์แท้จริง-คือ-ธรรมะ! พระสงฆ์-ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อ จมปลักอยู่ในกิเลสแห่งอำนาจลาภยศเงินทอง-คือ-พระสงฆ์กำมะลอ-พระสงฆ์จอมปลอม!
มนุษย์ทุกสังคมล้วนมี “บัวสี่เหล่า” ทั้งสิ้น “บัวปริ่มน้ำ” กับ “บัวพ้นน้ำ” เป็นคนส่วนน้อย ส่วน “บัวในตม” และ “บัวใต้น้ำ” เป็นคนส่วนมาก “บัว” สองเหล่านี้ไม่รู้ทันในเล่ห์ร้าย จึงเป็นเหยื่อให้ “กลุ่มคนชั่ว” หลอกลวง-ต้มตุ๋น-เอาเปรียบเรื่อยมา
“ท่านพุทธทาส” ได้พูดสั้นๆ ถึง “ความฉลาด” ไว้ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” หน้า 264 ว่า
“เมื่อคนฉลาดไม่ใช้ธรรมะพัฒนาสัญชาตญาณ ก็จะทำผิดทำเลวได้อย่างสูงสุด”
ก่อนจะขยายความเพิ่มในหน้า 265 ว่า “การตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ก็ต้องทำด้วยจิตที่ปกติ ไม่ถูกรบกวนด้วยสัญชาตญาณอย่างกิเลส คือ สัญชาตญาณอย่างสัตว์ หรือเรียกว่าความรู้สึกฝ่ายต่ำ, สิ่งเหล่านี้อย่ามารบกวนจิตใจ, ให้จิตใจเป็นอิสระ แล้วทำอะไร จะตัดสินใจอะไร ก็จะตัดสินใจได้ถูกต้อง... ทีนี้ ถ้าพัฒนาสัญชาตญาณได้แล้ว มีสัญชาตญาณที่พัฒนาแล้ว, ปราศจากความรู้สึกตัวตนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็สามารถที่จะควบคุมความฉลาด. ฟังดูมันก็แปลกนะ ว่าความฉลาด เฉลียวฉลาดนั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม
ถ้าควบคุมไม่ได้ ความฉลาดนั่นแหละจะเกิดเป็นการทำผิด ทำเลวอย่างสูงสุดเพราะฉลาด, จึงพูดได้ว่า ความฉลาดนั้นไปเป็นพระอรหันต์ก็ได้, ความฉลาดนั้น ไปเป็นโจรมหาโจรอันร้ายกาจก็ได้, ถ้าควบคุมความฉลาดให้ถูกต้อง มันก็เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ก็ไปจบด้วยการเป็นพระอรหันต์,
ถ้าควบคุมความฉลาดไม่ได้ มันก็คดโกง มันก็คอร์รัปชัน มันก็ต้องหลีกออกจากสังคม... เป็นสิ่งที่ประหลาดอยู่ว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม. สติปัญญาตามธรรมดา ที่เรียกว่า สติปัญญาตามธรรมดานั้น ต้องควบคุม ; ถ้าไม่ควบคุมมันเดินผิดทาง.
ภาษาไทยนี้ออกจะลำบากว่าสติปัญญาใช้ได้ทั้งสองอย่าง ; สติปัญญาชนิดที่ยังไม่ปลอดภัยก็เรียกว่าสติปัญญา, สติปัญญาชนิดที่ปลอดภัยก็เรียกว่าสติปัญญา. เราจะต้องระวังกันให้ดีๆ ภาษาบาลีเขาแยกเรียกกันคนละอย่าง ; สติปัญญาชนิดเฉโก มันฉลาดเท่าไรๆ ก็ได้, แต่ถ้าปัญญาชนิด ปัญญาล้วน เป็นอธิปัญญา แล้วมันผิดพลาดไม่ได้.”
หนังสือยังพูดถึง ชีวิตคนเราที่มีด้านสว่างกับด้านมืด ธรรมะกับสัญชาตญาณ ไว้ว่า
“สัญชาตญาณเกิดได้เอง โดยธรรมชาติใส่ให้มากับชีวิต ส่วนการศึกษาปฏิบัติธรรมะ เป็นวิธีควบคุมสัญชาตญาณ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พัฒนาโพธิ เพื่อใช้ควบคุมสัญชาตญาณแล้วดับกิเลสได้
กิเลสกับโพธิ เป็นสัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มากับจิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์รู้ถูก-รู้ผิดได้ด้วยตัวของตัวเอง จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตคนเรามี 2 ด้าน คือ ; ด้านสว่างกับด้านมืด หากใช้สัญชาตญาณให้ความคิดเดินไปผิดทาง ก็เป็นกิเลส เป็นความมืด, แต่ถ้าใช้ธรรมะ เดินไปถูกทางก็เป็นโพธิ เป็นความสว่าง”
อืม... กิเลสแห่งลาภยศเงินทองนั้น-น่ากลัวจริงๆ นอกจากกิเลสได้สร้างนักการเมืองชั่วโกงชาติแล้ว ยังสร้าง “พระกำมะลอ-พระปลอม-เดียรถีย์-อลัชชี” จนมารศาสนายั้วเยี้ยเต็มไปหมดในวงการสงฆ์ไทย!!!
เอ๊ะ!...“บิ๊กตู่” จะขจัดมารศาสนาในวงการพระสงฆ์ไทย ทำพุทธศาสนาให้สะอาดได้ไหมเนี่ย...?
(ขอขอบคุณ-ผู้จัดทำ-จัดพิมพ์ หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ไว้ ณ ที่นี้...อ่านต่อวันพุธหน้า)