นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก สปท. และ กมธ.ปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับร่างรธน. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของศาลรธน. ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ศาลรธน.ได้สร้างจุดเปลี่ยนทางการเมืองในห้วงวิกฤตของประเทศมาแล้ว 4 ครั้งใหญ่ คือ กลางปี 50 (ยุบพรรคไทยรักไทย) ปลายปี 51 (ยุบ 3 พรรค รวมทั้งพรรคพลังประชาชน) กลางปี 55 (ยับยั้งการแก้ไขรธน.2550) และ ต้นปี 57 ( มีผลให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกฯ ) ยังมีครั้งใหญ่รองลงมาอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 56 ต่อต้นปี 57 ดังนั้นอำนาจที่เพิ่มขึ้นจากเดิมของศาลรธน. ในร่างรธน.ฉบับใหม่ จึงถูกจับตาจากทุกฝ่าย
นายคำนูณ ได้ชี้ให้เห็นว่า อำนาจของศาลรธน. ในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม มีอะไรบ้าง เรียงลำดับตามความสำคัญ ดังนี้
1. อำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ องค์กรอิสระ - มาตรา 205 (2) เป็นอำนาจที่เขียนไว้สั้นๆ แต่กว้างขวางมาก จุดมุ่งหมายเพื่อยับยั้งวิกฤตทุกประเภท
2. อำนาจวินิจฉัยกรณีไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากกรณีนั้นไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่จะยกมาปรับใช้ได้ - มาตรา 207 นี่เป็นอำนาจกว้างขวางมากพอๆ กับข้อ 1 เพราะเดิมเคยเป็นบทบัญญัติ มาตรา 7 ของรธน.ฉบับก่อนๆ
เมื่อรวมอำนาจข้อ 2 เข้ากับ ข้อ 1 จะถือเป็นอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดที่ครอบคลุมทุกปัญหา นัยว่าจะเป็นการยับยั้งวิกฤตได้ทุกระดับ โดยไม่ต้องพึ่งการรัฐประหาร
3. อำนาจวินิจฉัยว่าการแก้ไขรธน.ที่ผ่านขั้นตอนรัฐสภาที่ยากมากแล้วมีลักษณะ 3 ประการนี้ หรือไม่ (1) เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรธน. (2) เรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลและองค์กรอิสระ (3) เรื่องที่ทำให้ศาลและองค์กรอิสระ ไม่อาจปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ได้ ถ้าเข้าลักษณะประการใดประการหนึ่งใน 3 ประการนี้แล้วทำไม่ได้ โดยลำพังรัฐสภา ต้องไปประชามติก่อน - มาตรา 253 (8) (9) นี่ก็เป็นอำนาจที่ไม่เคยมีองค์กรใดตามรธน. เคยมีมาก่อน ถ้าจะมีข้อสังเกตก็คือ ใน (2) และ (3) เป็นการวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กรตนเอง
ด้วย
4. อำนาจกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับศาลรธน. และองค์กรอิสระที่ ส.ส., ส.ว. และ ครม. จะต้องปฏิบัติ และการวางมาตรฐานว่า การณ์ใดจึงจะเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง - มาตรา 215 และ 265 นี่เป็นอำนาจที่สำคัญมาก เดิมรธน.ปี 50 ให้แต่ละองค์กรกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมกันเองตามเงื่อนไขบังคับขั้นต่ำที่รธน.วางไว้ และให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้กำกับมาตรฐาน
5. อำนาจวินิจฉัย วินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้ง ส.ส., ส.ว., รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี - มาตรา 231 เดิม ตามรธน.ปี 50 เป็นส่วนหนึ่งในอำนาจถอดถอนของวุฒิสภา เท่าที่อ่านมาหลายรอบ อำนาจที่เพิ่มขึ้นก็มีเพียงเท่านี้ อาจจะยุบรวมข้อ 4 กับ 5 เข้าด้วยกันก็ได้
ก็พูดได้ว่าเพิ่มขึ้นแค่ 4 กลุ่มไม่มาก แต่บังเอิญเบิ้มๆทั้งนั้น
นอกจากนั้น เป็นอำนาจเดิมตามรธน. ฉบับก่อน ๆ เช่น วินิจฉัยคุณสมบัติของส.ส. -ส.ว. และรัฐมนตรี เพียงแต่คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นอย่างเข้มข้น ก็ทำให้อำนาจวินิจฉัยที่มีอยู่แต่เดิม มีความสำคัญต่อการเมืองยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ต้องพูดอีกด้านด้วยว่าอำนาจมากเช่นนี้ ตุลาการศาลรธน. ถูกควบคุมอย่างไร ตอบได้ว่า ตุลาการศาลรธน. ถูกควบคุมและดำเนินคดีได้ เหมือนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และตำแหน่งการเมืองอื่นในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย - มาตรา 231 (1) (2)
นายคำนูณ ได้ชี้ให้เห็นว่า อำนาจของศาลรธน. ในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม มีอะไรบ้าง เรียงลำดับตามความสำคัญ ดังนี้
1. อำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ องค์กรอิสระ - มาตรา 205 (2) เป็นอำนาจที่เขียนไว้สั้นๆ แต่กว้างขวางมาก จุดมุ่งหมายเพื่อยับยั้งวิกฤตทุกประเภท
2. อำนาจวินิจฉัยกรณีไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากกรณีนั้นไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่จะยกมาปรับใช้ได้ - มาตรา 207 นี่เป็นอำนาจกว้างขวางมากพอๆ กับข้อ 1 เพราะเดิมเคยเป็นบทบัญญัติ มาตรา 7 ของรธน.ฉบับก่อนๆ
เมื่อรวมอำนาจข้อ 2 เข้ากับ ข้อ 1 จะถือเป็นอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดที่ครอบคลุมทุกปัญหา นัยว่าจะเป็นการยับยั้งวิกฤตได้ทุกระดับ โดยไม่ต้องพึ่งการรัฐประหาร
3. อำนาจวินิจฉัยว่าการแก้ไขรธน.ที่ผ่านขั้นตอนรัฐสภาที่ยากมากแล้วมีลักษณะ 3 ประการนี้ หรือไม่ (1) เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรธน. (2) เรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลและองค์กรอิสระ (3) เรื่องที่ทำให้ศาลและองค์กรอิสระ ไม่อาจปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ได้ ถ้าเข้าลักษณะประการใดประการหนึ่งใน 3 ประการนี้แล้วทำไม่ได้ โดยลำพังรัฐสภา ต้องไปประชามติก่อน - มาตรา 253 (8) (9) นี่ก็เป็นอำนาจที่ไม่เคยมีองค์กรใดตามรธน. เคยมีมาก่อน ถ้าจะมีข้อสังเกตก็คือ ใน (2) และ (3) เป็นการวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กรตนเอง
ด้วย
4. อำนาจกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับศาลรธน. และองค์กรอิสระที่ ส.ส., ส.ว. และ ครม. จะต้องปฏิบัติ และการวางมาตรฐานว่า การณ์ใดจึงจะเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง - มาตรา 215 และ 265 นี่เป็นอำนาจที่สำคัญมาก เดิมรธน.ปี 50 ให้แต่ละองค์กรกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมกันเองตามเงื่อนไขบังคับขั้นต่ำที่รธน.วางไว้ และให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้กำกับมาตรฐาน
5. อำนาจวินิจฉัย วินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้ง ส.ส., ส.ว., รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี - มาตรา 231 เดิม ตามรธน.ปี 50 เป็นส่วนหนึ่งในอำนาจถอดถอนของวุฒิสภา เท่าที่อ่านมาหลายรอบ อำนาจที่เพิ่มขึ้นก็มีเพียงเท่านี้ อาจจะยุบรวมข้อ 4 กับ 5 เข้าด้วยกันก็ได้
ก็พูดได้ว่าเพิ่มขึ้นแค่ 4 กลุ่มไม่มาก แต่บังเอิญเบิ้มๆทั้งนั้น
นอกจากนั้น เป็นอำนาจเดิมตามรธน. ฉบับก่อน ๆ เช่น วินิจฉัยคุณสมบัติของส.ส. -ส.ว. และรัฐมนตรี เพียงแต่คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นอย่างเข้มข้น ก็ทำให้อำนาจวินิจฉัยที่มีอยู่แต่เดิม มีความสำคัญต่อการเมืองยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ต้องพูดอีกด้านด้วยว่าอำนาจมากเช่นนี้ ตุลาการศาลรธน. ถูกควบคุมอย่างไร ตอบได้ว่า ตุลาการศาลรธน. ถูกควบคุมและดำเนินคดีได้ เหมือนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และตำแหน่งการเมืองอื่นในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย - มาตรา 231 (1) (2)