ผู้จัดการรายวัน360-ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกอดีตเจ้าหน้าที่ กกต. 3 ปี 4 เดือน พร้อมอดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา กรณีลักลอบแก้ไขข้อมูลสมาชิกพรรคเพื่อให้ลงสมัคร ส.ส. ช่วงเลือกตั้งปี 49 ส่วน "ธรรมรักษ์" อดีตบิ๊กไทยรักไทยรอด เหตุอัยการโจทย์ไม่ฎีกา หลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (3 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.961/2553ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 76 ปี อดีต รมว.กลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย, นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย, นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีต ผอ.การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานกระทำผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 และ 11
โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2553 สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มี.ค.2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อ ข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง,แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และแขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เกี่ยวพันกัน
เมื่อถึงเวลานัด นายอมรวิทย์ อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยฯ กกต. จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายบุญทวีศักดิ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย จำเลยที่ 5 มาจากเรือนจำ สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์แล้วที่ให้ยกฟ้อง และอัยการโจทก์ไม่ฎีกา ส่วนนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ขณะนี้ครบกำหนด 1 เดือนแล้วยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวจำเลยได้
ศาลฎีกาประชุมสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยจำคุกนายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3-5 เห็นควรแก้โทษจำคุก คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 พร้อมออกหมายจับนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ให้มารับโทษด้วย
อนึ่ง ในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง ด้วยการไม่ส่งสมาชิกพรรคลงสมัคร ทำให้บางเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ มีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยเพียงคนเดียว ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2540 ได้กำหนดเงื่อนไขว่า กรณีเขตเลือกตั้งใด มีผู้สมัคร ส.ส.เพียงคนเดียว จะต้องได้คะแนนเกินร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงเงื่อนไขดังกล่าว พรรคไทยรักไทยจึงติดต่อว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครด้วย และเป็นสาเหตุให้พรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2550
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (3 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.961/2553ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 76 ปี อดีต รมว.กลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย, นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย, นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีต ผอ.การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานกระทำผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 และ 11
โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2553 สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มี.ค.2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อ ข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง,แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และแขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เกี่ยวพันกัน
เมื่อถึงเวลานัด นายอมรวิทย์ อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยฯ กกต. จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายบุญทวีศักดิ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย จำเลยที่ 5 มาจากเรือนจำ สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์แล้วที่ให้ยกฟ้อง และอัยการโจทก์ไม่ฎีกา ส่วนนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ขณะนี้ครบกำหนด 1 เดือนแล้วยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวจำเลยได้
ศาลฎีกาประชุมสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยจำคุกนายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3-5 เห็นควรแก้โทษจำคุก คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 พร้อมออกหมายจับนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ให้มารับโทษด้วย
อนึ่ง ในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง ด้วยการไม่ส่งสมาชิกพรรคลงสมัคร ทำให้บางเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ มีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยเพียงคนเดียว ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2540 ได้กำหนดเงื่อนไขว่า กรณีเขตเลือกตั้งใด มีผู้สมัคร ส.ส.เพียงคนเดียว จะต้องได้คะแนนเกินร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงเงื่อนไขดังกล่าว พรรคไทยรักไทยจึงติดต่อว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครด้วย และเป็นสาเหตุให้พรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2550