ยิ่งกว่าหวยล็อค! มส.โอบอุ้ม "ธัมมชโย" ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หลังดีเอสไอส่งเรื่องให้พิจารณา อ้างศาลชั้นต้นของสงฆ์ไม่รับคำร้องคดียักยอกที่ดิน และผู้ฟ้องไม่ยื่นอุทธรณ์เอง ส่วนคดีทางโลก อัยการก็ถอนฟ้องคดีไปแล้ว
ผู้จัดการรายวัน360-ยิ่งกว่าหวยล็อค! มส.โอบอุ้ม "ธัมมชโย" ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หลังดีเอสไอส่งเรื่องให้พิจารณา อ้างศาลชั้นต้นของสงฆ์ไม่รับคำร้องคดียักยอกที่ดิน และผู้ฟ้องไม่ยื่นอุทธรณ์เอง ส่วนคดีทางโลก อัยการก็ถอนฟ้องคดีไปแล้ว เท่ากับยังไม่มีความผิด แต่หากจะฟ้องต่อ ก็ต้องฟ้องคดีใหม่ เมินขัดกฎหมายมาตรา 157 บอกแล้วแต่ใครจะคิด พร้อมส่งหนังสือแจงดีเอสไอ 12 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 ก.พ.) ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณา คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือถึงประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งเรื่องให้พิจารณาดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ มส. ว่า ที่ประชุม มส. มีมติให้พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่ต้องอาบัติปาราชิก
ทั้งนี้ มีเหตุผลว่า ก่อนหน้านี้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้แทนมหาเถรสมาคม ได้หารือกับดีเอสไอ 2 ครั้ง ยืนยันว่า ได้ตอบสนองต่อพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช กรณีพระธัมมชโยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีการตีความว่าพระลิขิต เป็นพระบัญชาหรือพระดำริก็ตาม และจากการตรวจสอบข้อมูล ยังพบว่า ในช่วงปี 2542-2544 มหาเถรสมาคมได้มีการประชุมหารือในเรื่องนี้นับ 100 ครั้ง
นายชยพลอธิบายต่อว่า สำหรับการดำเนินคดีทางสงฆ์ ใช้กฎนิคหกรรมฉบับที่ 11 ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 โดยหากเปรียบในคดีทางโลก จะเริ่มต้นจากศาลชั้นต้น โดยมีเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี รองเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะภาค ร่วมกันพิจารณา
โดยในปี 2542 ที่มีการยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์กล่าวหาพระธัมมชโย ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ คณะพิจารณาของศาลชั้นต้นทางสงฆ์ไม่รับคำร้องของผู้ยื่นฟ้องคดี 2 คน คือ นายสมพร เทพสิทธา และนายมาณพ พลไพรินทร์ เนื่องจากคำร้องไม่สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นทางสงฆ์ได้เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ภายใน 30 วัน แต่ผู้ยื่นฟ้องคดีไม่มายื่นอุทธรณ์ และได้ถอนฟ้องไป 1 คน ทำให้การพิจารณาคดีในทางสงฆ์ต้องยุติลง และไม่มีการพิจารณาไปถึงกระบวนการที่ชี้ชัดว่า พระธัมมชโยอาบัติปาราชิกหรือไม่ ดังนั้น คดีทางสงฆ์ จึงไปไม่ถึงการพิจารณาในขั้นศาลอุทธรณ์ทางสงฆ์ คือ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และไม่ถึงขั้นศาลฎีกาทางสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม
ขณะที่ผู้ยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์ ก็ได้มีการยื่นฟ้องคดีทางโลกพร้อมกันไปด้วย แต่ในเวลาต่อมาผู้ร้องขอถอนฟ้อง ทำให้อัยการถอนฟ้องคดี ส่งผลให้คดีทางโลกสิ้นสุดลงไปด้วย หากจะมีการฟ้องร้องพระธัมมชโยอีกก็จะต้องเป็นข้อกล่าวหาในคดีอื่นๆ ที่เป็นคดีใหม่ ซึ่งไม่ใช่กรณีข้อกล่าวหายักยอกที่ดิน โดยผู้ที่ต้องการฟ้องคดีทางสงฆ์ ก็จะต้องไปยื่นฟ้องที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นเจ้าคณะปกครองโดยตรง
ส่วนกรณีที่ทางดีเอสไอมองว่า มหาเถรสมาคม ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ กรณีของพระธัมมชโย ยืนยันว่า สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคม ได้ดำเนินงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว ส่วนการมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะส่งหนังสือชี้แจงต่อดีเอสไอโดยเร็วที่สุด ภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อการประชุม มส. เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2558 ที่ประชุม มส. ก็มีมติว่า ธัมมชโย ไม่อาบัติปาราชิก เพราะไม่ได้ขัดขืนพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตในการคืนที่ดินแล้ว และไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง โดยได้ทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดพระธรรมกาย อีกทั้งการสอบสวนความผิดของธัมมชโย โดยคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ ก็สรุปออกมาว่าไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด ถือเป็นอันยุติ ส่วนคดีทางโลก อัยการได้ถอนฟ้องคดี ถือว่าได้พ้นมลทินแล้ว
สำหรับการประชุมในปีนี้ ซึ่งเป็นการประชุมในเดือนเดียวกัน และมติที่ประชุม ก็ออกมาตามที่หลายๆ ฝ่ายได้มีการคาดกันเอาไว้
ผู้จัดการรายวัน360-ยิ่งกว่าหวยล็อค! มส.โอบอุ้ม "ธัมมชโย" ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หลังดีเอสไอส่งเรื่องให้พิจารณา อ้างศาลชั้นต้นของสงฆ์ไม่รับคำร้องคดียักยอกที่ดิน และผู้ฟ้องไม่ยื่นอุทธรณ์เอง ส่วนคดีทางโลก อัยการก็ถอนฟ้องคดีไปแล้ว เท่ากับยังไม่มีความผิด แต่หากจะฟ้องต่อ ก็ต้องฟ้องคดีใหม่ เมินขัดกฎหมายมาตรา 157 บอกแล้วแต่ใครจะคิด พร้อมส่งหนังสือแจงดีเอสไอ 12 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 ก.พ.) ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณา คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือถึงประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งเรื่องให้พิจารณาดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ มส. ว่า ที่ประชุม มส. มีมติให้พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่ต้องอาบัติปาราชิก
ทั้งนี้ มีเหตุผลว่า ก่อนหน้านี้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้แทนมหาเถรสมาคม ได้หารือกับดีเอสไอ 2 ครั้ง ยืนยันว่า ได้ตอบสนองต่อพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช กรณีพระธัมมชโยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีการตีความว่าพระลิขิต เป็นพระบัญชาหรือพระดำริก็ตาม และจากการตรวจสอบข้อมูล ยังพบว่า ในช่วงปี 2542-2544 มหาเถรสมาคมได้มีการประชุมหารือในเรื่องนี้นับ 100 ครั้ง
นายชยพลอธิบายต่อว่า สำหรับการดำเนินคดีทางสงฆ์ ใช้กฎนิคหกรรมฉบับที่ 11 ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 โดยหากเปรียบในคดีทางโลก จะเริ่มต้นจากศาลชั้นต้น โดยมีเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี รองเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะภาค ร่วมกันพิจารณา
โดยในปี 2542 ที่มีการยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์กล่าวหาพระธัมมชโย ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ คณะพิจารณาของศาลชั้นต้นทางสงฆ์ไม่รับคำร้องของผู้ยื่นฟ้องคดี 2 คน คือ นายสมพร เทพสิทธา และนายมาณพ พลไพรินทร์ เนื่องจากคำร้องไม่สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นทางสงฆ์ได้เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ภายใน 30 วัน แต่ผู้ยื่นฟ้องคดีไม่มายื่นอุทธรณ์ และได้ถอนฟ้องไป 1 คน ทำให้การพิจารณาคดีในทางสงฆ์ต้องยุติลง และไม่มีการพิจารณาไปถึงกระบวนการที่ชี้ชัดว่า พระธัมมชโยอาบัติปาราชิกหรือไม่ ดังนั้น คดีทางสงฆ์ จึงไปไม่ถึงการพิจารณาในขั้นศาลอุทธรณ์ทางสงฆ์ คือ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และไม่ถึงขั้นศาลฎีกาทางสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม
ขณะที่ผู้ยื่นฟ้องคดีทางสงฆ์ ก็ได้มีการยื่นฟ้องคดีทางโลกพร้อมกันไปด้วย แต่ในเวลาต่อมาผู้ร้องขอถอนฟ้อง ทำให้อัยการถอนฟ้องคดี ส่งผลให้คดีทางโลกสิ้นสุดลงไปด้วย หากจะมีการฟ้องร้องพระธัมมชโยอีกก็จะต้องเป็นข้อกล่าวหาในคดีอื่นๆ ที่เป็นคดีใหม่ ซึ่งไม่ใช่กรณีข้อกล่าวหายักยอกที่ดิน โดยผู้ที่ต้องการฟ้องคดีทางสงฆ์ ก็จะต้องไปยื่นฟ้องที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นเจ้าคณะปกครองโดยตรง
ส่วนกรณีที่ทางดีเอสไอมองว่า มหาเถรสมาคม ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ กรณีของพระธัมมชโย ยืนยันว่า สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคม ได้ดำเนินงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว ส่วนการมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะส่งหนังสือชี้แจงต่อดีเอสไอโดยเร็วที่สุด ภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อการประชุม มส. เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2558 ที่ประชุม มส. ก็มีมติว่า ธัมมชโย ไม่อาบัติปาราชิก เพราะไม่ได้ขัดขืนพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตในการคืนที่ดินแล้ว และไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง โดยได้ทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดพระธรรมกาย อีกทั้งการสอบสวนความผิดของธัมมชโย โดยคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ ก็สรุปออกมาว่าไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด ถือเป็นอันยุติ ส่วนคดีทางโลก อัยการได้ถอนฟ้องคดี ถือว่าได้พ้นมลทินแล้ว
สำหรับการประชุมในปีนี้ ซึ่งเป็นการประชุมในเดือนเดียวกัน และมติที่ประชุม ก็ออกมาตามที่หลายๆ ฝ่ายได้มีการคาดกันเอาไว้