ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ต้องเรียกว่าของเขาแรงจริง ขลังจริง เพราะผลงานอันเอกอุหาใดเสมอเหมือนของเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่ตระกูล ส. ซึ่งสร้างคณูปการให้กับสังคมอย่างท่วมท้นมายาวนาน ชนิดที่พิสูจน์ทราบกันได้ชัดเจน
ทั้งสั่งสมผลงานคุณงามความดี ทั้งสั่งสมบารมีกันมามากพอตัว เหตุไฉน คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) จะมาถือป้ายอาญาสิทธิ์ คิดโยกย้ายใครๆ ในตระกูลส.ออกไป โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ถ้วนถี่
สุดท้ายก็ต้องทำให้ลูกพี่ใหญ่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บากหน้ามาขอโทษขอโพยพี่หมอทั้งหลาย กระผมผิดไปแล้ว จบนะ ดีกันนะ เสียเหลี่ยมชายชาติทหารที่ต้องมายอมศิโรราบให้กับอภิมหาหมอใหญ่แห่งยุค ซึ่งที่จริงแล้วก็ทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นกุนซืออย่างไม่เป็นทางการให้กับคณะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่างช่วยไม่ได้ อยากมีลูกน้องฝีมือไม่เข้าขั้นแต่ดันอยากลองของทุบตระกูลส. ผลลัพธ์ก็ต้องกลับหลังหัน 360 องศา แทบไม่ทัน
14 วันอันตราย หลังนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฯ เซ็นคำสั่งฟ้าผ่าเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 โยกย้าย กรรมการกองทุนสนับสนุบสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 7 คน รวมอยู่กับรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 จำนวน 59 คน บรรยากาศการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อึมครึมจนออกอาการน่าเป็นห่วง เพราะเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่ตระกูล ส. นั้นรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ธรรมดา แต่ละคนที่ถูกสั่งปลด และแต่ละคนที่เปิดหน้ามาเคลื่อนไหวก็ล้วนแต่ถนัดงานมวลชนระดับตัวพ่อตัวแม่ทั้งสิ้น ครั้นคิดจะจับยัดคุกคนที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่าง “จ่านิว” ขึ้นรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ก็ยิ่งจะไปกันใหญ่
การเคลื่อนไหวกดดันทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ถามหาความชัดเจนถึงต้นสายปลายเหตุ ทำให้ทีมนายกรัฐมนตรี อ้อมๆ แอ้มๆ ตอบได้ไม่เคลียร์คัทว่าสั่งกรรมการ สสส. 7 ราย ให้พ้นหน้าที่ด้วยเหตุอันใด สุดท้ายเสือบูรพา ป.ปลา ประยุทธ์ ก็เกยตื้น
ยิ่งเมื่อเจอการบอยคอตจาก สสส. และหมอประเวศ วะสี ตำแหน่งราษฎรอาวุโส ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยหมอประเวศ ถอนตัวจากการเข้าร่วมเปิดงาน “ความสำคัญและทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา อย่างกะทันหัน ด้วยเหตุที่ว่ามีกลุ่มทุนเป็นสปอนเซอร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หมอประเวศ ชูรักแร้เชียร์สุดใจในช่วงคิกออฟโครงการประชารัฐ ที่มี 3 ขา รัฐ-ราษฎร์-เอกชน ร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก อย่างอลังการงานสร้างที่เมืองทองธานี เมื่อปีที่แล้วนี่เอง จะมาเพิ่งรู้ว่าโครงการประชารัฐมีกลุ่มทุนเข้าร่วมด้วยจึงรังเกียจก็หาใช่
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ตระกูล ส. หรือตระกูลไหนๆ เมื่อใช้เงินที่มาจากภาษีของประชาชนไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ล้วนแต่ต้องบริหารให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้นว่าฉันนี้นะเป็นคนดีห้ามแตะเสียที่ไหน และถ้าจะว่าไปแล้ว เงินในตระกูล ส. ก็มีบางส่วนที่ใช้ไปในกิจกรรมที่แสนจะเพลิดเพลินจำเริญใจเสียจริง ยิ่งเป็นพวก “คนกันเอง” แล้วละก็ยิ่งได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ แต่ถ้าหากวันใดที่หน่วยงานไหนหรือใครก็ตามที่รับงบสนับสนุนกล้าหือขึ้นมาก็เสี่ยงถูกตัดออกจากบัญชีได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า สสส. สร้างคุณูปการด้านการสร้างเสริมสุขภาพให้ผู้คนในสังคมไทยไม่น้อย และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนอย่างยิ่งยวด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า การให้งบสนับสนุนของ สสส. ก็ไม่ต่างกับการเกื้อกูลหล่อเลี้ยงมวลชนให้เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กคอยปกป้องผู้มีอำนาจอนุมัติให้ทุนของ สสส. และเครือข่ายตระกูล ส. มิฉะนั้นแล้ว จะหวั่นเกรงไปใยกับการถูกตรวจสอบ ถ้าสามารถตอบคำทุกเรื่องราวให้กระจ่างชัดได้
ต้องถือว่าเป็นเวลาสมควรแล้วที่การตีความอย่างกว้างของการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อให้ทุน สสส. ซึ่งกระจายไปครอบจักรวาลที่ยาวนานกว่า 13 ปี ควรที่จะได้รับการสังคายนาใหม่ มากไปไหม น้อยไปไหม นั่นเป็นเรื่องที่ควรต้องทำและถูกต้องแล้ว และการตรวจสอบโดยองค์กรตรวจสอบอิสระอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนพ้องน้องพี่ก็จะทำให้เห็นอะไรดีๆ ที่ซุกอยู่ใต้พรม หรือจะบอกว่าไม่มีแม้สักนิดก็ให้สังคมได้รับรู้กันไปว่า สสส.นี้เขาดีจริง ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย
งานนี้ พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) อย่าเพิ่งถอดใจ นี่แค่ยกแรก เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น “อย่าป๊อด” สงวนท่าทีถามคำตอบคำ ให้เสียแต้มคูชายชาติทหาร
เมื่อถามว่า “ปัญหาการดำเนินงานและการตั้งรักษาการกรรมการ สสส. แทนผู้ที่ถูกให้พ้นจากตำแหน่งเดิม”
พล.อ.ชาตอุดม ตอบว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ไม่ได้หารือกันเรื่องดังกล่าว แต่มีการพูดคุยกันนอกรอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องระดับนโยบาย”
เมื่อถามว่า การชะลอโครงการและงบประมาณของ สสส.ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้รับผลกระทบจะดำเนินการอย่างไร
พล.อ.ชาตอุดม ตอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และคาดว่าจะมีการสั่งการในเรื่องนี้ต่อไป ส่วนที่มีข่าวว่ามีการตรวจสอบภาษีผู้ดำเนินโครงการของ สสส.ในแต่ละโครงการย้อนหลังนั้น พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งในทางกฎหมายก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวที่ว่ามีการล็อกสเปกการสรรหาบอร์ด สสส.นั้น
พล.อ.ชาตอุดม ตอบว่า “ยืนยันว่าการพิจารณาจะเปิดกว้างขวางและเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยคนที่ถูกปลดพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ยังสามารถกลับเข้ามาสมัครเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดสรรใหม่ได้ ซึ่งนายกฯ และ คสช.ไม่ได้มีคนของตัวเองตามที่เป็นข่าว”
ประธาน คตร. อย่าป๊อด ประธาน คตช. ที่พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นประธาน อย่าป๊อด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ก็อย่าป๊อด ดูตัวอย่างนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ออกมาเปิดประเด็นการตรวจสอบ สสส. ตามหน้าที่ จนผลสะเทือนจากส่งรายงานการตรวจสอบประจำปี 2557 ให้กับนายกรัฐมนตรี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย เมื่อปลายเดือนกันยายน ปี 2558 ที่ผ่านมา และสามารถสร้างแรงกระเพื่อมเขย่าตระกูล ส. มาจนถึงวันนี้
ประเด็นของ สตง.ที่ยังคาใจสังคมอยู่ก็คือ การใช้งบที่ สสส. ยืนกรานว่าสามารถทำได้นั้น แท้จริงแล้วใช้ไปอย่างมีธรรมาภิบาลหรือไม่ มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ กรรมการถ่างขานั่งหลายเก้าอี้นั้นงามหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ แม้จะบอกว่าเป็นมูลนิธิไม่แสวงหากำไรก็ตามทีเถิด การสวมเสื้อคลุมคนดีไม่มีทุจริตพันเปอร์เซ็นต์มาอธิบายทุกเรื่อง ไม่น่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการใช้จ่ายงบของประเทศ มองไกลๆ อย่างที่กำลังวิตกกันตอนนี้ก็ดี คือว่าหากกรรมการ สสส. ถูกครอบงำโดยนักการเมืองและทุน แล้วมีผลประโยชน์ทับซ้อนจะรับกันไหวไหม?
มาถึงคำถามคาใจ เล่นงานคนดี สสส. แบบนี้จะเข้าทางนายทุนน้ำเมาและ บุหรี่ข้ามชาติไหม? และเป็นเพราะทุนน้ำเมาและบุหรี่อยู่เบื้องหลังใช่ไหมถึงมี การตรวจสอบ สสส. ?
ประเด็นนี้ ต้องบอกว่า เมื่อเป็นทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ สตง.นั้นทำงานตามหน้าที่ ส่วนกลุ่มทุนจะใช้อิทธิพลมารังแกคนดี เรื่องนี้ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเครือข่ายประชาชนด้านสุขภาพของไทยนั้นได้ชื่อว่าแข็งแกร่งติดระดับโลก เห็นได้ชัดจากผลงานเรื่อง Compulsory Licensing (CL) การบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาเพื่อการเข้าถึงยา หรือการยันไม่ให้รัฐบาลไทยเข้าร่วม TPP กับสหรัฐอเมริกา ที่จะส่งผลต่อค่ายาค่ารักษาพยาบาลแพงขั้น นั่นเป็นตัวอย่าง
มองในมุมกลับกันแบบไม่ไร้เดียงสา อิทธิพลของทุนน้ำเมา-บุหรี่ ก็ต้องยอมรับว่ายิ่งใหญ่จริงๆ ดูจากการที่ สสส. ใช้งบรณรงค์ด้านสุขภาพ ทั้งเมาไม่ขับ ทั้งภาพอุจาดตาบนซองบุหรี่ ฯลฯ ที่ใช้ไปหลายพันล้านในแต่ละปี แต่จากรายงานการตรวจสอบ สสส. ของ สตง. กลับพบว่า เงินกองทุนภาษีบาปจากธุรกิจน้ำเมาและบุหรี่มีแต่เพิ่มขึ้นทุกปี คือขายดีขึ้นๆ นั่นแหละ ชัดเจน
กลับมาว่ากันถึงการลงนามสั่งโยกย้าย จนกระทั่งออกมาขอโทษขอโพย เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งที่ผ่านๆ มา มีแต่ขอโทษไม่เป็น โอเลี้ยงแก้วเดียวก็ไม่เลี้ยงใคร คำขอโทษช่วยลดดีกรีความร้อนแรงกระแสไล่บิ๊กตู่พ้นอำนาจให้เบาบางลงทันใด
“เรื่องนี้ไม่ใช่ผมเป็นคนเริ่ม แต่ก็ต้องเสียเวลากันหน่อยเพื่อทำให้ถูกต้อง พอผลตรวจสอบออกมาแล้วไม่มีการทุจริต ซึ่งผมไม่เคยบอกว่ามีทุจริตเลย ในทำสั่งที่เขียนก็ไม่มีคำว่าทุจริต แต่สื่อไปขยายความ เพียงแต่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ให้มีความชัดเจน เมื่อถึงเวลาคัดสรรบุคลากรก็ให้มาคัดสรร ถือเป็นเรื่องของท่านผมจะไปเกี่ยวอะไรด้วย ฝากขอโทษด้วย ซึ่งทำให้อย่างอื่นเสียหาย แต่ที่ผมทำคือการสร้างความไว้ใจให้เกิดขึ้นกับพวกท่านและไม่ต้องการให้โครงการหยุดชะงัก ให้ทำตามวัตถุประสงค์ และตามกฎหมาย”
“เรื่องนี้ผมอยากจะทำความเข้าใจอีกครั้งและฝากขอโทษผู้อาวุโสทั้งหลายด้วย ขอโทษพี่หมอทุกคน ผมไม่ได้ต้องการจะทำลายท่านเลย แต่หวังสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับท่านเพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ผม แต่เป็นเรื่องของสังคมที่มีหลายอย่างด้วยกัน ในเมื่อเราอยากให้ทุกอย่างดีขึ้น ทุกคนทำงานอย่างสบายใจจำเป็นต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย ซึ่งท่านสามารถเข้าไปใหม่ได้ ผมบอกว่าให้คัดสรรไม่ได้บอกว่าท่านทุจริต แต่บังเอิญคำสั่งนั้นไปรวมอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ นี่เป็นเพียงการหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เพื่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทำตามข้อสังเกต เพราะหากทุกคนยังอยู่ที่เดิมหมดก็จะขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ท่านอยู่ในระดับบน อย่างน้อยก็ร่วมมือกับเรา และอย่ามาทะเลาะกับผมอยู่เลย มันไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างไรก็ต้องเดินตามหลักการที่ถูกต้อง แต่จะทำอย่างไรให้เร็วขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าวขอโทษขอโพยในวันที่ไปประชุมกับผู้บริหารและผู้แทนองค์กรในสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ศึกตระกูล ส. จบลงด้วยคำขอโทษ และนายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งให้บอร์ด สสส.ดำเนินการประชุมได้ และแต่งตั้ง นายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.ที่ไม่ถูกปลด ขึ้นมาเป็นรองประธานบอร์ด สสส.คนที่ 2 แทนจนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ ซึ่งการสรรหากรรมการใหม่เข้ามาแทนกรรมการที่ถูกโยกย้าย ซึ่งทั้งคนใหม่และคนเก่าที่ถูกย้ายมีสิทธิ์เข้าชิงเก้าอี้หากมีการเสนอชื่อเข้ามาตามที่นายกรัฐมนตรีเข้าใจ
แต่อย่างไรก็ตาม หมอวิชัย โชควิวัฒน อดีตรองประธานบอร์ด สสส.คนที่ 2 ก็บอกว่า ในคำสั่งปลดระบุแนบท้ายว่าให้พ้นจากการเป็นกรรมการและการดำรงตำแหน่งในกองทุน สสส. ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ได้หรือไม่ โดยคำสั่งดังกล่าวยังไม่ได้ปลดล็อก ดังนั้น การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิคนใหม่อาจทำให้เสนอบุคคลเดิมที่ถูกปลดไม่ได้
บอร์ดเก่า สสส. จะกลับมาได้ หรือไม่ได้ อีกไม่นานคงได้รู้กัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สสส.จะใจกว้างเปิดรับการตรวจสอบการใช้งบจากสังคม หรือจะขอสงวนสิทธิ์นี้ไว้เป็นขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าใครอย่าแตะ ซึ่งหากเป็นประการหลัง ย่อมเป็นไม่ผลดีต่อใครด้วยประการทั้งปวง