วานนี้ (21 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายลุตฟี ราอุฟ (H.E. Mr. Lutfi Rauf) เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาจากตำแหน่ง โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงความเสียใจกับเหตุระเบิดและการกราดยิง ณ กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และขอร่วมกับรัฐบาลอินโดนีเซีย ประณามการก่อความรุนแรงในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังเห็นพ้องกันว่า การก่อการร้ายเป็นภัยคุกคามที่ประเทศในอาเซียนต้องเตรียมรับมือและป้องกันมากขึ้นกว่าเดิม และเสนอให้มีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็ง ระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย และในอาเซียน
ทั้งนี้ นายกฯ ยังได้เชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในโอกาสต่อไปด้วย
** สั่งตรวจสอบ “ไอเอส” เข้าไทย
ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) เข้ามาในพื้นที่ จ.นราธิวาส ว่า กำลังตรวจสอบอยู่ โดยขอความร่วมมือสื่อมวลชนระมัดระวังในการนำเสนอข่าว เพราะเป็นเรื่องลับ รวมทั้งมีผลกระทบกับประเทศอื่น และประชาคมโลก ซึ่งบางเรื่องถ้าพูดออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์ จะทำให้ผู้ก่อเหตุสามารถหลบหนีไปได้ และจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในกระบวนการขัดแย้งเสียเอง
“ถ้าถามว่าจับได้หรือยัง ก็จับได้ แล้วเป็นไอเอสหรือเปล่า ใช่หรือไม่ใช่ แล้วถ้าใช่ จะได้อะไรขึ้นมา แล้วจะเสนออะไรต่อ บอกบ้านเราเริ่มมีขบวนนการเหล่านี้เข้ามา แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น คราวนี้ก็เกิดในบ้านเรา” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
** ชมปชช.ร่วมมือทำปัญหาไฟใต้ดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีแนวทางปรับยุทธวิธีในการรับมือกลุ่มก่อการร้าย หรือ กลุ่มไอเอส หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มาตรการความมั่นคงมีหลายอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพข้าราชการ กำลังพล เพิ่มเทคโนโลยี เพิ่มอุปกรณ์ พัฒนาการศึกษา เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การร่วมมือด้านการข่าวกรอง ที่มีการประชุมตลอดเวลา แต่ไม่จำเป็นต้องมาเปิดเผยทั้งหมด
เมื่อถามถึง สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถือว่าดีขึ้น จากสถิติ และจากความร่วมมือของประชาชน แต่คนที่ไม่ร่วมก็มีเจตนาชัดเจนอยู่แล้ว ในส่วนของการศึกษาในพื้นที่ ก็มีการเดินหน้า แก้ไข ให้ศอ.บต. ลงไปทำ ทั้งงานพัฒนา กิจกรรมการศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย การปรับกลยุทธ์ และแผนยุทธศาสตร์
** มทภ.4 ยันไม่มีการจับกุม
อีกด้าน พล.ท.วิวรรธ์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวปฎิเสธกระแสข่าวการจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 คน ที่ถือสัญชาติอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เดินทางเข้ามาเคลื่อนไหวอุดมการณ์ของไอเอส ในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยระบุว่า มีการรายงานแจ้งข่าวว่า มีกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 รายดังกล่าวเดินทางเข้ามา และได้มอบเงินบริจาคให้กับ มัสยิดมูโน๊ะ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และขอให้ผู้นำศาสนาทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องรัฐอิสลามกับนักเรียนในพื้นที่ แต่ในเบื้องต้น ได้ให้หน่วยในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงกับผู้นำศาสนาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ต้องดำเนินการตรวจสอบเสียก่อน ซึ่งเป็นการข่าวจากชาวบ้าน ไม่ได้เจอด้วยตัวเอง ซึ่งตามระเบียบต้องมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวอีกชั้น
“ยืนยันว่ายังไม่มีการจับกุม มีเพียงแต่การข่าวว่า กลุ่มคนดังกล่าว เข้ามามอบเงินให้กับมัสยิด และขอให้ผู้นำสอนศาสนาสอนเกี่ยวกับรัฐอิสลาม แต่ในเบื้องต้นให้มอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 36 ดำเนินการตรวจสอบแล้ว” พล.ท.วิวรรธ์ กล่าว
** ฝากชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา
ขณะที่ พล.ต.เอกรัตน์ ช้างแก้ว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เปิดเผยว่า มีข่าวจากแหล่งข่าวแจ้งเข้ามาจริง เกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยเข้ามาในพื้นที่ สอดคล้องกับข้อมูลแจ้งเตือนที่ผ่านมาว่า อาจมีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาใช้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการหลบซ่อนตัว โดยเฉพาะพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จึงได้วางกำลังตรวจเข้มมาตลอด เพื่อสกัดกั้นไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาก่อเหตุรุนแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังเน้นไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกด่าน รวมไปถึงช่องทางธรรมชาติ ฉะนั้น จึงอยากฝากให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่คอยแจ้งเตือนเพื่อป้องกันเหตุร้าย.
ทั้งนี้ นายกฯ ยังได้เชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในโอกาสต่อไปด้วย
** สั่งตรวจสอบ “ไอเอส” เข้าไทย
ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) เข้ามาในพื้นที่ จ.นราธิวาส ว่า กำลังตรวจสอบอยู่ โดยขอความร่วมมือสื่อมวลชนระมัดระวังในการนำเสนอข่าว เพราะเป็นเรื่องลับ รวมทั้งมีผลกระทบกับประเทศอื่น และประชาคมโลก ซึ่งบางเรื่องถ้าพูดออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์ จะทำให้ผู้ก่อเหตุสามารถหลบหนีไปได้ และจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในกระบวนการขัดแย้งเสียเอง
“ถ้าถามว่าจับได้หรือยัง ก็จับได้ แล้วเป็นไอเอสหรือเปล่า ใช่หรือไม่ใช่ แล้วถ้าใช่ จะได้อะไรขึ้นมา แล้วจะเสนออะไรต่อ บอกบ้านเราเริ่มมีขบวนนการเหล่านี้เข้ามา แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น คราวนี้ก็เกิดในบ้านเรา” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
** ชมปชช.ร่วมมือทำปัญหาไฟใต้ดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีแนวทางปรับยุทธวิธีในการรับมือกลุ่มก่อการร้าย หรือ กลุ่มไอเอส หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มาตรการความมั่นคงมีหลายอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพข้าราชการ กำลังพล เพิ่มเทคโนโลยี เพิ่มอุปกรณ์ พัฒนาการศึกษา เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การร่วมมือด้านการข่าวกรอง ที่มีการประชุมตลอดเวลา แต่ไม่จำเป็นต้องมาเปิดเผยทั้งหมด
เมื่อถามถึง สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถือว่าดีขึ้น จากสถิติ และจากความร่วมมือของประชาชน แต่คนที่ไม่ร่วมก็มีเจตนาชัดเจนอยู่แล้ว ในส่วนของการศึกษาในพื้นที่ ก็มีการเดินหน้า แก้ไข ให้ศอ.บต. ลงไปทำ ทั้งงานพัฒนา กิจกรรมการศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย การปรับกลยุทธ์ และแผนยุทธศาสตร์
** มทภ.4 ยันไม่มีการจับกุม
อีกด้าน พล.ท.วิวรรธ์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวปฎิเสธกระแสข่าวการจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 คน ที่ถือสัญชาติอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เดินทางเข้ามาเคลื่อนไหวอุดมการณ์ของไอเอส ในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยระบุว่า มีการรายงานแจ้งข่าวว่า มีกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 รายดังกล่าวเดินทางเข้ามา และได้มอบเงินบริจาคให้กับ มัสยิดมูโน๊ะ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และขอให้ผู้นำศาสนาทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องรัฐอิสลามกับนักเรียนในพื้นที่ แต่ในเบื้องต้น ได้ให้หน่วยในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงกับผู้นำศาสนาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ต้องดำเนินการตรวจสอบเสียก่อน ซึ่งเป็นการข่าวจากชาวบ้าน ไม่ได้เจอด้วยตัวเอง ซึ่งตามระเบียบต้องมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวอีกชั้น
“ยืนยันว่ายังไม่มีการจับกุม มีเพียงแต่การข่าวว่า กลุ่มคนดังกล่าว เข้ามามอบเงินให้กับมัสยิด และขอให้ผู้นำสอนศาสนาสอนเกี่ยวกับรัฐอิสลาม แต่ในเบื้องต้นให้มอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 36 ดำเนินการตรวจสอบแล้ว” พล.ท.วิวรรธ์ กล่าว
** ฝากชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา
ขณะที่ พล.ต.เอกรัตน์ ช้างแก้ว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เปิดเผยว่า มีข่าวจากแหล่งข่าวแจ้งเข้ามาจริง เกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยเข้ามาในพื้นที่ สอดคล้องกับข้อมูลแจ้งเตือนที่ผ่านมาว่า อาจมีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาใช้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการหลบซ่อนตัว โดยเฉพาะพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จึงได้วางกำลังตรวจเข้มมาตลอด เพื่อสกัดกั้นไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาก่อเหตุรุนแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังเน้นไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกด่าน รวมไปถึงช่องทางธรรมชาติ ฉะนั้น จึงอยากฝากให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่คอยแจ้งเตือนเพื่อป้องกันเหตุร้าย.