ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความเสื่อมถอยของตำรวจ (ไทย) ว่ากันว่ามาจากยุคสมัยประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน ไล่มาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ามาบริหารประเทศ ช่วงพ.ศ.2531- 2534 เหตุเพราะว่า ระบบการเมืองไทยนักการเมืองต้องอาศัยบริการของ “ผู้กว้างขวาง” ทั้งนักเลง ผู้มีอิทธิพลเจ้าพ่อเจ้าแม่ นายบ่อน หรือผู้กระทำผิกฏหมายทั้งหลาย ซึ่งมาในรูปของหัวคะแนน มีหน้าที่จ่ายเงิน ข่มขู่ หรือหว่านล้อมให้นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน อาศัยไห้ววานกันอยู่เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง
ตระกูลเจ้าพ่อมาเฟียที่ส่งลูกหลานมาเล่นการเมืองทั้งระดับจังหวัด ระดับประเทศ มีอยู่มากมาย คงไม่ต้องอธิบายกันมาก ไมว่าจะเป็นภาคเหนือบรรดาพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง ภาคใต้ คือพวกนายหัว ภาคตะวันออก อดีตกำนันดัง ภาคอีสาน แม้จะหนักไปในทางนักเคลื่อนไหวการเมือง แต่ไม่วายมีเจ้าของกิจการหวยเถื่อนรายใหญ่ เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ไม่เว้นกรุงเทพมหานคร มีลูกหลานเจ้าของบ่อนใหญ่แห่งหนึ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เปิดตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของสังคม หรืออะไรทั้งสิ้น
นักการเมืองอาศัยไหว้วานเจ้าพ่อมาเฟีย ตำรวจ(ไทย) บางคนยอมลดศักดิ์ศรีเดินตามส.ส. เดินตามรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยสนับสนุนความเจริญก้าวหน้า
เมื่อมีผลประโยชน์พัวพันกันขนาดนี้นักการเมืองไทยพันธ์ใหม่ จึงมีปฏิสัมพันธ์กับบรรดาเจ้าพ่อมาเฟีย ลงไปถึงนักเลงหัวไม้ และแน่นอนว่าต้องมีตำรวจคอยเป็นมือเป็นไม้ช่วยแผ่อิทธิพลในทุกรูปแบบ
ว่ากันว่า ยุคที่เฟื่องฟูที่สุดของตำรวจไทย นักการเมืองไทย และบรรดาเจ้าพ่อมาเฟีย นักเลงอันธพาลทั้งหลาย ก็คือยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นช่วงที่นักการเมืองอาศัยไหว้วานตำรวจ -นักเลงอันธพาลมากที่สุด และส่งตำรวจที่ใก้ลชิดทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้อง แทรกซึมไปทุกหน่วยงานกลายเป็น “รัฐตำรวจ” อย่างเต็มตัว
ตำรวจทุกระดับไล่มาตั้งแต่ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ -รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ - ผู้ช่วยฯ -ผู้บัญชาการตำรวจภาค 1-9 ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล- สันติบาล -สอบสวนกลาง ไล่ลงจนถึงระดับผู้บังคับการ และผู้กำกับการ ตำแหน่งสารวัตร ล้วนเป็น “ตำรวจมะเขือเทศ” มีการวางรากฐาน กระจายตำรวจทุกระดับมาตั้งแต่ 2544 - 2558 รวม 14 ปี
เมื่ออธิบายความเป็นมา ถึงสาเหตุความตกต่ำของตำรวจไทย ซึ่งมาเกิดในรุ่นหลัง อันเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน จึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปในยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ในช่วง พ.ศ.2524 -2531 อันเป็นห้วงเวลาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ การเมืองไทยในยุคนั้นยังไม่มีคนเสื้อเหลือง เสื้อแดง ไม่มี นปช. หรือ กปปส. แต่มีความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์ มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเข้าป่าจับอาวุธสู้อำนาจรัฐ สมัยนั้นมีความเชื่อทางการเมืองเป็นซ้าย กับขวา
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จัดขบวนทัพสีกากีแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ “ล้วงลูก” จนเกิดอาการกระเพื่อม หรือเกิดความคับแค้น ชิงชังเหมือนยุคปัจจุบัน!!??
พล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้รับความไว้วางใจให้ช่วยจัดระเบียบสังคม ต่อมาได้เป็นรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย มีทีมงานชื่อคุ้นเคยประกอบด้วย พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร หรือ นิ๊กเนม “ปลดฮิ” เปิดปุ๊บติดปั๊บ ในฐานะคนรู้ใจป๋า
ส่วนตำรวจระดับรองลงไปคือ พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ พล.ต.ท.มนัส ครุฑไชยยันต์ และยังเป็นยุคทองของตำรวจนักสืบ-มือปราบ ที่มีผลงานอันเป็นตำนานประกอบด้วย พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ พล.ต.ท.ธนู หอมหวน พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค พล.ต.ท.โสภณ สะวิคามิน พล.ต.ท.เขตต์ นิ่มสมบุญ พล.ต.ต.อมร ยุกตะนันท์ พล.ต.ท.ทวี ทิพย์รัตน์ พล.ต.ท.บุญชอบ พุ่มวิจิตร พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท เป็นต้น
นายตำรวจดังกล่าวแม้บางคนจะต้องประสบเคราะห์กรรมอันเกิดผลของการกระทำเฉพาะตัวแต่เรื่องที่กล่าวขานกันไม่จบก็คือ ศักดิ์ศรี และผลงานของตำรวจไทยทีผ่านๆ มาในอดีต
หลายคดีที่มีความสลับซับซ้อน ท่ามกลางความขาดแคลนทั้งเทคโนโลยี และทุนทรัพย์ แต่ตำรวจในยุคนั้นไม่ยอมเป็นมิตรกับโจร ไม่ยอมก้มหัวให้กับนักเลงอันธพาล ต่างจากยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู ที่ถือคติว่า “นกมีขน คนมีพวก” นักเลงอันธพาล เจ้าพ่อมาเฟีย สามารถคบหาสมาคมกับตำรวจไทย และขึ้นตรงต่อนักการเมือง หรือรับใช้ผู้มีอำนาจอย่างไม่เคอะเขิน
ผ่านมาหลายทศวรรษจนนายพลหลายๆ ท่าน ที่กล่าวมานั้นได้ล้มหายตายจากไปเกือบหมดสิ้น องค์กรสีกากีจาก “กรมตำรวจ” เปลี่ยนโครงสร้างมาเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และเข้าสู่วาระปฏิรูปประเทศ รวมทั้งเสียงเรียกร้องจากประชาชนส่วนใหญ่ให้ปฏิรูปตำรวจไทย แต่ยุคประชาธิปไตยแบบ “ส้มตำ” หรือแบบไทยๆ ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับมีแต่เรื่องติดลบ
มีการใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต...ล้วงลูกเข้าไปในองค์กรทุกๆ เรื่องและที่กำลังเป็นเรื่องร้อนๆ 2 ประเด็น คือ 1.การรวมตัวของตำรวจสายพนักงานสอบสวน เพื่อขอไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม และ 2. กฏ ก.ตร. ที่กำลังมีความพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อให้คนใก้ลชิดได้ประโยชน์เพียงกลุ่มเล็กๆ ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจของผู้มีอำนาจ
วิธีคิดและวิธีปฏิบัติเสมือนกับว่าองค์กรตำรวจคือขยะ ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยใด แม้แต่ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือเผด็จการครองเมือง ในอดีตตำรวจเคยได้รับเกียรติอย่างไรย้อนกลับไปก่อน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีอำนาจ สถาบันตำรวจก็ไม่เคยสั่นคลอน หมดสภาพ หมดศักดิ์ศรีขนาดนี้