ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ปัญหาจำนวนมากในสังคมเกิดจากความปรารถนาในการตอบสนองประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มอย่างล้นเกินไร้ความพอเพียง มีบุคคลจำนวนมากที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญในการบริหารประเทศเพลิดเพลินกับการแสวงหาความมั่งคั่ง ตำแหน่งและอำนาจ จนละเลยความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมสังคมและความเสียหายของสังคมโดยรวม
กล่าวได้ว่าสังคมไทยมีความโกลาหลในหลากหลายมิติ ใครเข้าไปรับรู้เรื่องใดก็จะพบกับสภาพปัญหาในเรื่องนั้นอันเป็นสภาวะความไม่สอดคล้องระหว่างสิ่งที่ควรจะเป็น(ตามมาตรฐานสากลของสังคมที่ดี ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการอยู่ร่วมอันอย่างสงบสุข) กับสิ่งที่เป็นจริง (ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานของความเป็นสังคมที่ดี)
การเบียดเบียนและการทำร้ายระหว่างผู้คนได้รับการยอมรับราวกับเป็นสิ่งที่มีมาตามธรรมชาติ ยิ่งผู้ที่มีกำลังทุนและอำนาจมากกว่าเบียดเบียนผู้ที่ไร้ทุนและไร้อำนาจ การเบียดเบียนนั้นมักถูกทำให้กลายเป็นสิ่งชอบธรรม และไม่มีใครหรือกลุ่มใดกล้าหาญเพียงพอที่จักเข้าไปแก้ไข ต่างคนต่างก็ไม่อยากสร้างศัตรู ไม่อยากเปลืองตัว ตราบเท่าที่ยังไม่กระทบผลประโยชน์และความอยู่ดีมีสุขของตนเอง
การตัดสินใจสร้างนโยบาย ระเบียบกฎเกณฑ์จำนวนมากเปี่ยมไปด้วยอคติโดยเจตนาของผู้สร้าง ทั้งซ่อนเร้นและเปิดเผย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มอำนาจและกลุ่มทุน ส่วนการตัดสินใจและระเบียบกฎเกณฑ์ใดที่ส่งผลกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มเหล่านั้น มาตรว่าจะสร้างผลประโยชน์แก่ประเทศโดยรวมก็มักจะถูกยับยั้งขัดขวางเสียทั้งสิ้น
บางเรื่องถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนา ซึ่งดูเหมือนว่ามีเป้าหมายเพื่อปกป้องหรือพัฒนาสังคมส่วนรวม แต่ครั้นเมื่อนำไปปฏิบัติ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม บางเรื่องก็กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านั้นแสวงหาประโยชน์แต่ตนเองและพวกพ้อง
การแสวงหาช่องว่างของระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง โดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม ดูเป็นวิธีคิดหลักของบรรดาผู้ที่ประกอบธุรกิจในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติหรือเชื้อชาติใดก็ตาม ด้วยพวกเขาทราบอย่างกระจ่างว่ากลไกการเมืองและระบบราชการของสังคมไทยพร้อมที่จะตอบสนองความปรารถนาของพวกเขา หากว่ามีค่าน้ำร้อนน้ำชาที่ทำให้ผู้บังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านั้นพอใจ
ทุกขั้นตอนในการขออนุญาตประกอบกิจการธุรกิจหรือการทำธุรกรรมกับหน่วยงานของรัฐในสังคมไทยที่จะต้องใช้อำนาจในการตัดสินใจอนุมัติ จึงเป็นทุกขั้นตอนที่จะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางตลอดจนเสร็จสิ้นกระบวนการ แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่บรรดานายทุนนักธุรกิจเสียไปพวกเขาย่อมคิดรวมเป็นต้นทุนที่จะต้องเอาคืนในภายหลัง
เราจึงเห็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยเสียจนกลายเป็นเรื่องที่ไม่แปลกประหลาด เช่น การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากเกิดขึ้นในพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่เกษตรกรรม มีการสร้างตึกใหญ่โตมโหฬารใจกลางกรุงเทพมหานครอย่างเสรี ทั้งที่มีทางถนนทางเข้าคับแคบ มีการรุกบุกจับจองที่สาธารณะอย่างเสรีเพื่อประกอบการค้าขายทั้งในเขตเมืองและเขตท่องเที่ยว มีการปล่อยปละละเลยกลุ่มทุนต่างชาติให้เข้ามาสร้างอิทธิพลในแหล่งท่องเที่ยว และเปิดโอกาสให้ฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุหลายชนิด อย่างไม่น่าเชื่อ
หากนำประเด็นปัญหาต่างๆที่ส่งกระทบต่อการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมที่ดี มาทำรายการบางทีเราอาจจะได้นับพันนับหมื่นรายการ เรียกได้ว่าแตะตรงไหนก็เจอปัญหาที่คุกคามความอยู่ดีมีสุขของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น
ผมจึงไม่แปลกใจที่นายกรัฐมนตรีพูดบ่อยๆ ว่าปัญหาของสังคมไทยมีเยอะมากและทำงานเหนื่อยทุกวัน เป็นนายกฯ ปีกว่า สั่งการแก้ปัญหาไปแล้วนับหมื่นเรื่อง นับว่าน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวที่ต้องมาแบกรับปัญหาซึ่งสะสมมาเป็นเวลายาวนาน
คณะผู้มีอำนาจนำในการบริหารและแก้ปัญหาของประเทศในยามนี้ กลุ่มหลักคือคณะทหาร ข้าราชการและนักธุรกิจ นายกรัฐมนตรีเป็นทหาร รัฐมนตรี สนช. ประธาน และกรรมการองค์การต่างๆของรัฐและรัฐวิสาหกิจจำนวนมากก็เป็นทหารและข้าราชการระดับสูง และมีจำนวนหนึ่งเป็นชนชั้นนำทางธุรกิจ ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น เมื่อมีองค์ประกอบเช่นนี้ก็ย่อมส่งผลต่อวิธีคิด มุมมอง และแนวทางในการแก้ปัญหาประเทศที่เน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง
กลุ่มทหารและข้าราชการพลเรือนส่วนมากมีวิธีคิด มุมมอง ในการรับรู้และวิเคราะห์ปัญหาแบบยึดติดกับกรอบความมั่นคงแบบดั้งเดิมและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบส่งเสริมระบบทุนนิยม ส่วนกลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ที่เป็นส่วนผสมของอำนาจไม่ค่อยสนใจเรื่องความมั่นคงมากนัก สิ่งที่พวกเขาสนใจคือการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ และบริบทของนโยบาย การบริหาร ระเบียบและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนและการขยายอาณาจักรทางธุรกิจของพวกเขาเป็นหลัก
ปกติกลุ่มทหารระดับสูงและนักธุรกิจใหญ่ๆ ต่างก็รู้จักมักคุ้นกันเป็นส่วนตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะว่าพวกเขามีโอกาสใกล้ชิดและสร้างเครือข่ายผ่านสถาบันการศึกษาเฉพาะทางบางอย่างที่หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานจัดขึ้นมา เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันพระปกเกล้า ฯลฯ การซึมผ่านของความคิดก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และความคิดที่มีอิทธิพลสูงคือความคิดเอื้อต่อความมั่งคั่งส่วนตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้าราชการจำนวนมากจะมีวิธีคิดสอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกับกับกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ๆ
การมองผลประโยชน์ของชาติในภาพรวมทั้งระยะสั้นและระยะยาว การคำนึงถึงคนเล็กคนน้อยในสังคม และความอยู่ดีมีสุขของคนส่วนใหญ่ จึงมักกลายเป็นเรื่องรองและถูกละเลยอยู่เสมอ รวมทั้งหากมีความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและข้าราชการ กับผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและกลุ่มประชาชนที่ไร้อำนาจแล้ว แนวโน้มการตัดสินใจของรัฐมักจะให้น้ำหนักและความสำคัญแก่กลุ่มแรกมากกว่ากลุ่มหลัง
กล่าวได้ว่าในปัจจุบันพื้นที่อำนาจและการตัดสินใจของภาคประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย ขณะที่พื้นที่อำนาจของกลุ่มทหารและข้าราชการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่วนพื้นที่อำนาจกลุ่มทุนใหญ่ไม่แตกต่างจากเดิม แต่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่าเดิมอีกเพราะถูกดึงเข้าไปให้มีส่วนในการตัดสินใจร่วมกับภาครัฐมากขึ้น
ผมรู้สึกว่าในปัจจุบัน กลุ่มบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานสำคัญของการบริหารประเทศซึ่งมีกรอบคิดและจุดยืนอยู่บนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนมีน้อยเกินไป ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีบารมีเพียงพอที่ไปคัดง้างความต้องการของกลุ่มใหญ่ได้ จึงได้แต่ประคองตัวและพยายามทำในสิ่งที่สามารถทำได้เท่าที่โอกาสอำนวยเท่านั้น แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก
ปัญหาร้อยแปดพันเก้าของสังคมไทยก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ขณะนี้เริ่มมีประชาชนบางกลุ่มแสดงทัศนะออกมาอย่างเปิดเผยแล้วว่า สถานการณ์ยามนี้แย่กว่าเดิม และสังคมไทยมีแนวโน้มจะเสียโอกาสอีกครั้งหนึ่ง น่าเสียดายครับ หากเป็นเช่นนั้นจริง
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ปัญหาจำนวนมากในสังคมเกิดจากความปรารถนาในการตอบสนองประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มอย่างล้นเกินไร้ความพอเพียง มีบุคคลจำนวนมากที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญในการบริหารประเทศเพลิดเพลินกับการแสวงหาความมั่งคั่ง ตำแหน่งและอำนาจ จนละเลยความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมสังคมและความเสียหายของสังคมโดยรวม
กล่าวได้ว่าสังคมไทยมีความโกลาหลในหลากหลายมิติ ใครเข้าไปรับรู้เรื่องใดก็จะพบกับสภาพปัญหาในเรื่องนั้นอันเป็นสภาวะความไม่สอดคล้องระหว่างสิ่งที่ควรจะเป็น(ตามมาตรฐานสากลของสังคมที่ดี ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการอยู่ร่วมอันอย่างสงบสุข) กับสิ่งที่เป็นจริง (ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานของความเป็นสังคมที่ดี)
การเบียดเบียนและการทำร้ายระหว่างผู้คนได้รับการยอมรับราวกับเป็นสิ่งที่มีมาตามธรรมชาติ ยิ่งผู้ที่มีกำลังทุนและอำนาจมากกว่าเบียดเบียนผู้ที่ไร้ทุนและไร้อำนาจ การเบียดเบียนนั้นมักถูกทำให้กลายเป็นสิ่งชอบธรรม และไม่มีใครหรือกลุ่มใดกล้าหาญเพียงพอที่จักเข้าไปแก้ไข ต่างคนต่างก็ไม่อยากสร้างศัตรู ไม่อยากเปลืองตัว ตราบเท่าที่ยังไม่กระทบผลประโยชน์และความอยู่ดีมีสุขของตนเอง
การตัดสินใจสร้างนโยบาย ระเบียบกฎเกณฑ์จำนวนมากเปี่ยมไปด้วยอคติโดยเจตนาของผู้สร้าง ทั้งซ่อนเร้นและเปิดเผย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มอำนาจและกลุ่มทุน ส่วนการตัดสินใจและระเบียบกฎเกณฑ์ใดที่ส่งผลกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มเหล่านั้น มาตรว่าจะสร้างผลประโยชน์แก่ประเทศโดยรวมก็มักจะถูกยับยั้งขัดขวางเสียทั้งสิ้น
บางเรื่องถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนา ซึ่งดูเหมือนว่ามีเป้าหมายเพื่อปกป้องหรือพัฒนาสังคมส่วนรวม แต่ครั้นเมื่อนำไปปฏิบัติ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม บางเรื่องก็กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านั้นแสวงหาประโยชน์แต่ตนเองและพวกพ้อง
การแสวงหาช่องว่างของระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง โดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม ดูเป็นวิธีคิดหลักของบรรดาผู้ที่ประกอบธุรกิจในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติหรือเชื้อชาติใดก็ตาม ด้วยพวกเขาทราบอย่างกระจ่างว่ากลไกการเมืองและระบบราชการของสังคมไทยพร้อมที่จะตอบสนองความปรารถนาของพวกเขา หากว่ามีค่าน้ำร้อนน้ำชาที่ทำให้ผู้บังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านั้นพอใจ
ทุกขั้นตอนในการขออนุญาตประกอบกิจการธุรกิจหรือการทำธุรกรรมกับหน่วยงานของรัฐในสังคมไทยที่จะต้องใช้อำนาจในการตัดสินใจอนุมัติ จึงเป็นทุกขั้นตอนที่จะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางตลอดจนเสร็จสิ้นกระบวนการ แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่บรรดานายทุนนักธุรกิจเสียไปพวกเขาย่อมคิดรวมเป็นต้นทุนที่จะต้องเอาคืนในภายหลัง
เราจึงเห็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยเสียจนกลายเป็นเรื่องที่ไม่แปลกประหลาด เช่น การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากเกิดขึ้นในพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่เกษตรกรรม มีการสร้างตึกใหญ่โตมโหฬารใจกลางกรุงเทพมหานครอย่างเสรี ทั้งที่มีทางถนนทางเข้าคับแคบ มีการรุกบุกจับจองที่สาธารณะอย่างเสรีเพื่อประกอบการค้าขายทั้งในเขตเมืองและเขตท่องเที่ยว มีการปล่อยปละละเลยกลุ่มทุนต่างชาติให้เข้ามาสร้างอิทธิพลในแหล่งท่องเที่ยว และเปิดโอกาสให้ฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุหลายชนิด อย่างไม่น่าเชื่อ
หากนำประเด็นปัญหาต่างๆที่ส่งกระทบต่อการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมที่ดี มาทำรายการบางทีเราอาจจะได้นับพันนับหมื่นรายการ เรียกได้ว่าแตะตรงไหนก็เจอปัญหาที่คุกคามความอยู่ดีมีสุขของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น
ผมจึงไม่แปลกใจที่นายกรัฐมนตรีพูดบ่อยๆ ว่าปัญหาของสังคมไทยมีเยอะมากและทำงานเหนื่อยทุกวัน เป็นนายกฯ ปีกว่า สั่งการแก้ปัญหาไปแล้วนับหมื่นเรื่อง นับว่าน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวที่ต้องมาแบกรับปัญหาซึ่งสะสมมาเป็นเวลายาวนาน
คณะผู้มีอำนาจนำในการบริหารและแก้ปัญหาของประเทศในยามนี้ กลุ่มหลักคือคณะทหาร ข้าราชการและนักธุรกิจ นายกรัฐมนตรีเป็นทหาร รัฐมนตรี สนช. ประธาน และกรรมการองค์การต่างๆของรัฐและรัฐวิสาหกิจจำนวนมากก็เป็นทหารและข้าราชการระดับสูง และมีจำนวนหนึ่งเป็นชนชั้นนำทางธุรกิจ ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น เมื่อมีองค์ประกอบเช่นนี้ก็ย่อมส่งผลต่อวิธีคิด มุมมอง และแนวทางในการแก้ปัญหาประเทศที่เน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง
กลุ่มทหารและข้าราชการพลเรือนส่วนมากมีวิธีคิด มุมมอง ในการรับรู้และวิเคราะห์ปัญหาแบบยึดติดกับกรอบความมั่นคงแบบดั้งเดิมและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบส่งเสริมระบบทุนนิยม ส่วนกลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ที่เป็นส่วนผสมของอำนาจไม่ค่อยสนใจเรื่องความมั่นคงมากนัก สิ่งที่พวกเขาสนใจคือการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ และบริบทของนโยบาย การบริหาร ระเบียบและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนและการขยายอาณาจักรทางธุรกิจของพวกเขาเป็นหลัก
ปกติกลุ่มทหารระดับสูงและนักธุรกิจใหญ่ๆ ต่างก็รู้จักมักคุ้นกันเป็นส่วนตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะว่าพวกเขามีโอกาสใกล้ชิดและสร้างเครือข่ายผ่านสถาบันการศึกษาเฉพาะทางบางอย่างที่หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานจัดขึ้นมา เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันพระปกเกล้า ฯลฯ การซึมผ่านของความคิดก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และความคิดที่มีอิทธิพลสูงคือความคิดเอื้อต่อความมั่งคั่งส่วนตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้าราชการจำนวนมากจะมีวิธีคิดสอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกับกับกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ๆ
การมองผลประโยชน์ของชาติในภาพรวมทั้งระยะสั้นและระยะยาว การคำนึงถึงคนเล็กคนน้อยในสังคม และความอยู่ดีมีสุขของคนส่วนใหญ่ จึงมักกลายเป็นเรื่องรองและถูกละเลยอยู่เสมอ รวมทั้งหากมีความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและข้าราชการ กับผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและกลุ่มประชาชนที่ไร้อำนาจแล้ว แนวโน้มการตัดสินใจของรัฐมักจะให้น้ำหนักและความสำคัญแก่กลุ่มแรกมากกว่ากลุ่มหลัง
กล่าวได้ว่าในปัจจุบันพื้นที่อำนาจและการตัดสินใจของภาคประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย ขณะที่พื้นที่อำนาจของกลุ่มทหารและข้าราชการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่วนพื้นที่อำนาจกลุ่มทุนใหญ่ไม่แตกต่างจากเดิม แต่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่าเดิมอีกเพราะถูกดึงเข้าไปให้มีส่วนในการตัดสินใจร่วมกับภาครัฐมากขึ้น
ผมรู้สึกว่าในปัจจุบัน กลุ่มบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานสำคัญของการบริหารประเทศซึ่งมีกรอบคิดและจุดยืนอยู่บนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนมีน้อยเกินไป ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีบารมีเพียงพอที่ไปคัดง้างความต้องการของกลุ่มใหญ่ได้ จึงได้แต่ประคองตัวและพยายามทำในสิ่งที่สามารถทำได้เท่าที่โอกาสอำนวยเท่านั้น แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก
ปัญหาร้อยแปดพันเก้าของสังคมไทยก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ขณะนี้เริ่มมีประชาชนบางกลุ่มแสดงทัศนะออกมาอย่างเปิดเผยแล้วว่า สถานการณ์ยามนี้แย่กว่าเดิม และสังคมไทยมีแนวโน้มจะเสียโอกาสอีกครั้งหนึ่ง น่าเสียดายครับ หากเป็นเช่นนั้นจริง