นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึง กรณีมีการแต่งตั้งนายปริญ ศรีสุทธิยากร บุตรชาย เป็นผู้ช่วยเลขานุการประจำกกต. และมีการเบิกค่าใช้จ่ายในการไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ต่างจังหวัดว่า เรื่องนี้ได้ดำเนินการตามระเบียบ และขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่ที่มีการนำเสนอข่าวว่าได้มีการทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่าย เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ต่างจังหวัดนั้น บุตรชายของตนไม่ได้ไปด้วย เข้าใจว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา ตนก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับบุตรชาย แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ซึ่งรายละเอียดขอให้ฝ่ายเลขา หรือสำนักบริหารทั่วไปเป็นผู้ชี้แจง
ด้านนายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รักษาการแทนเลขาธิการกกต. กล่าวว่า ตามที่มีข่าวว่า นายสมชัย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสำนักงานกกต.ประจำจังหวัดปทุมธานี และสระบุรี โดยมีนายปริญ เดินทางไปด้วย และการขออนุมัติเดินทางในครั้งนี้ โดยได้รับสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต. และกกต. พ.ศ. 2556 ประกอบระเบียบกกต. ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 สำนักงานกกต.ขอชี้แจงว่าข้อเท็จจริงกรณีการแต่งตั้งนายปริญ ผู้ช่วยเลขานุการประจำ กกต. สามารถแต่งตั้งได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกกต.ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต.และกกต. พ.ศ. 2556 ทั้งนี้ในการเดินทางดังกล่าว มีผู้ร่วมเดินทางจำนวน 4 คน ได้แก่ ที่ปรึกษาประจำกกต. ผู้เชี่ยวชาญฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัย และพนักงานขับรถยนต์ ร่วมเดินทางเท่านั้น ไม่มีนายปริญ ร่วมเดินทางแต่อย่างใด แต่หากร่วมเดินทางไปด้วยจริง ก็สามารถใช้สิทธิเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปปฏิบัติงาน วันละ 250 บาท จึงเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 และไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระเบียบกกต. ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต. และกกต. พ.ศ. 2556 ในส่วนของผู้ช่วยเลขานุการ ได้กำหนดคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามระบุ อาทิ มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นเช่นเดียวกับพนักงาน และลูกจ้างของสำนักงานตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล มีคุณสมบัติพิเศษอื่นหรือมีประสบการณ์ตามที่ประธานกรรมการหรือกรรมการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
โดย กกต.แต่ละคนนั้นจะสามารถมีผู้ช่วยเลขานุการได้ 2 ตำแหน่งต่อคน ส่วนค่าตอบแทนต่อเดือนนั้น จะเป็นไปตามวุฒิการศึกษา คือ ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ระดับปริญญาตรี 20,000 บาท และสูงกว่าระดับปริญญาตรี 23,000 บาท ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดว่าตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ต้องมีวุฒิการศึกษาเฉพาะด้านอย่างไรบ้าง รวมทั้งยังได้สิทธิประโยชน์อื่น อาทิ ประกันสุขภาพเบี้ยประกันไม่เกิน 20,000 บาท ต่อคนต่อปี และบำเหน็จตอบแทนเป็นเงินจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตำแหน่ง โดยคำนวณจากค่าตอบแทนรายเดือนคูณด้วยจำนวนปีในการดำรงตำแหน่ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานนั้นผู้ช่วยเลขานุการมีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน เช่นเดียวกับพนักงานปฏิบัติงานระดับกลาง อย่างไรก็ตาม วุฒิการศึกษาของนายปริญ นั้น จบการศึกษาระดับมัธยมที่ ร.ร.สวนกุกลาบวิทยาลัย ส่วนระดับอุดมศึกษา ที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาควิชาภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา ตนก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับบุตรชาย แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ซึ่งรายละเอียดขอให้ฝ่ายเลขา หรือสำนักบริหารทั่วไปเป็นผู้ชี้แจง
ด้านนายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รักษาการแทนเลขาธิการกกต. กล่าวว่า ตามที่มีข่าวว่า นายสมชัย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสำนักงานกกต.ประจำจังหวัดปทุมธานี และสระบุรี โดยมีนายปริญ เดินทางไปด้วย และการขออนุมัติเดินทางในครั้งนี้ โดยได้รับสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต. และกกต. พ.ศ. 2556 ประกอบระเบียบกกต. ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 สำนักงานกกต.ขอชี้แจงว่าข้อเท็จจริงกรณีการแต่งตั้งนายปริญ ผู้ช่วยเลขานุการประจำ กกต. สามารถแต่งตั้งได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกกต.ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต.และกกต. พ.ศ. 2556 ทั้งนี้ในการเดินทางดังกล่าว มีผู้ร่วมเดินทางจำนวน 4 คน ได้แก่ ที่ปรึกษาประจำกกต. ผู้เชี่ยวชาญฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัย และพนักงานขับรถยนต์ ร่วมเดินทางเท่านั้น ไม่มีนายปริญ ร่วมเดินทางแต่อย่างใด แต่หากร่วมเดินทางไปด้วยจริง ก็สามารถใช้สิทธิเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปปฏิบัติงาน วันละ 250 บาท จึงเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 และไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระเบียบกกต. ว่าด้วยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ประจำประธานกกต. และกกต. พ.ศ. 2556 ในส่วนของผู้ช่วยเลขานุการ ได้กำหนดคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามระบุ อาทิ มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นเช่นเดียวกับพนักงาน และลูกจ้างของสำนักงานตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล มีคุณสมบัติพิเศษอื่นหรือมีประสบการณ์ตามที่ประธานกรรมการหรือกรรมการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
โดย กกต.แต่ละคนนั้นจะสามารถมีผู้ช่วยเลขานุการได้ 2 ตำแหน่งต่อคน ส่วนค่าตอบแทนต่อเดือนนั้น จะเป็นไปตามวุฒิการศึกษา คือ ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ระดับปริญญาตรี 20,000 บาท และสูงกว่าระดับปริญญาตรี 23,000 บาท ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดว่าตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ต้องมีวุฒิการศึกษาเฉพาะด้านอย่างไรบ้าง รวมทั้งยังได้สิทธิประโยชน์อื่น อาทิ ประกันสุขภาพเบี้ยประกันไม่เกิน 20,000 บาท ต่อคนต่อปี และบำเหน็จตอบแทนเป็นเงินจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตำแหน่ง โดยคำนวณจากค่าตอบแทนรายเดือนคูณด้วยจำนวนปีในการดำรงตำแหน่ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานนั้นผู้ช่วยเลขานุการมีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน เช่นเดียวกับพนักงานปฏิบัติงานระดับกลาง อย่างไรก็ตาม วุฒิการศึกษาของนายปริญ นั้น จบการศึกษาระดับมัธยมที่ ร.ร.สวนกุกลาบวิทยาลัย ส่วนระดับอุดมศึกษา ที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาควิชาภาพยนตร์