xs
xsm
sm
md
lg

ดีใจไหม ประเทศไทยไฟฟ้าล้นเกินจะส่งออกไฟฟ้าไปต่างประเทศแล้ว !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา การต่อสู้ระหว่างภาคประชาชนกับกลุ่มทุนพลังงานนั้น ถือได้ว่าได้เข้าสู่ยุคที่ประชาชนมีความตื่นรู้มากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ประกอบกับในยุคนี้มีการใช้โซเชียลมีเดียกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ เฟสบุ๊ค และ ไลน์ ยิ่งทำให้ข้อมูลข่าวสารและการตอบโต้ของภาคประชาชนได้ยกระดับไม่แพ้การใช้เงินเพื่อซื้อและจัดทำโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มทุนพลังงานเลย

สิ่งที่มีความน่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การตอบโต้ข้อมูลส่วนใหญ่ของฝ่ายกลุ่มทุนพลังงานนั้นล้วนมาจาก “ผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน”ทั้งสิ้น !!!

บางคนเป็นคณะกรรมการในบริษัทกลุ่มทุนพลังงาน บางคนถือหุ้นอยู่ บางคนได้รับเงินจากกลุ่มทุนพลังงานที่มาสนับสนุนผ่านมูลนิธิหรือองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ และบางคนมีสถานภาพเป็นภรรยาของผู้มีอำนาจในกลุ่มทุนพลังงาน บางคนเป็นลูกจ้างของกลุ่มทุนพลังงาน ฯลฯ (ซึ่งจะหาโอกาสเปิดโปงรายตัวต่อไป)

การประดิษฐ์วาทะกรรมของกลุ่มทุนพลังงานนั้น ก็เพื่อสร้างตรรกะที่พยายามจะยับยั้งไม่ให้มีกฎหมายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผลประโยชน์ต่อกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มเดิม พยายามขัดขวางไม่ให้เกิดการประมูลแข่งขันราคาเพื่อรักษาการผูกขาดของกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มเดิม และพยายามหาประโยชน์เพิ่มเติมให้กับกลุ่มทุนพลังงานที่ตัวเองได้ประโยชน์อยู่ด้วย

ประชาชนหลายคนทนดู ทนฟัง ทนอ่าน ตรรกะและเหตุผลการชี้แจงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานมาหลายปี เพราะกลุ่มทุนพลังงานเหล่านี้ใช้เงินและงบประมาณในการทำสื่อเผยแพร่และผลิตซ้ำในการประชาสัมพันธ์อยู่มาก ซึ่งหากประชาชนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ก็อาจจะคล้อยตามไปตามตรรกะเหล่านั้นได้ แต่ถ้ามีผู้ติดตามคำอธิบายเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะรู้ว่าตรรกะเหล่านั้นขัดแย้งกันเองบ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆบ้าง หรือมีความจริงไม่ครบบ้าง

ด้วยเหตุผลนี้บุคคลในกลุ่มทุนพลังงานเหล่านั้น จึงพยายามหลบเลี่ยงในการขึ้นเวทีสาธารณะกับประชาชนอยู่เสมอๆ และยังหลบเลี่ยงในการส่งผู้มีอำนาจในกลุ่มทุนพลังงานมาพูดคุยกับภาคประชาชนที่แม้จัดเวทีโดยองค์กรของรัฐเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงอีกด้วย เพราะหากวิญญูชนที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ฟังข้อมูลเปรียบเทียบเมื่อไหร่ ก็จะกลับมายืนข้างภาคประชาชนที่อยู่บนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

“ตรรกะวิบัติ” ของกลุ่มทุนพลังงาน ที่ชอบใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียวมีอยู่ว่า ถ้าไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และ ถ้าไม่เร่งเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ประเทศไทยจะขาดแคลนไฟฟ้าจนถึงไฟฟ้าดับ

หัวใจสำคัญของตรรกะข้างต้นนี้มีเอาไว้เพื่อให้ “เร่งรีบ” เพราะความเร่งรีบโดยการอ้างวิกฤตมาเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายทั้งหลายให้เกิดความสมบูรณ์ครบถ้วน

หรือถ้าถูกกดดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย ก็จะแยกให้มีกฎหมายระยะสั้นที่สักแต่ว่าแก้ไขเล็กน้อย (เพื่อจะได้เร่งรีบด่วนจี๋ที่สุด) และการแก้ไขกฎหมายระยะยาวก็ต้องใช้เวลายาวๆเอาไว้ปล่อยให้รัฐบาลหน้า (ก็แปลว่าจะได้ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายให้ครบถ้วน)

ความจริงเรื่องไฟฟ้าดับถือเป็นเรื่องที่มีสาระสำคัญอย่างยิ่ง จะเร่งรีบจริงหรือไม่และแค่ไหนต้องดูที่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 20 ปี หรือ แผน PDP 2015 ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่าประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งและกำลังผลิตไฟฟ้าพึ่งได้ล้นเกินกว่าพยากรณ์สำรองไฟฟ้าขั้นต่ำ 15% ไปอย่างมโหฬารมากมายมหาศาล

นี่เฉพาะสมมุติเชื่อแผน PDP 2015 ว่ามีการพยากรณ์ถูกต้องตามหลักวิชาการจริง !!!?

แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่มาใช้ในการคำนวณการผลิตไฟฟ้าในอนาคต ก็กลับ “สูงเกินจริง” แม้กระทั่งตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ผ่านไปแล้ว 2 ปี ทั้งนี้แผน PDP 2015 จัดทำเสร็จและผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558 แต่กลับยังพยากรณ์ให้สูงเกินจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว เช่น

ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2557 เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557 อยู่ที่ 26,942 เมกะวัตต์ แต่แผน PDP 2015 ซึ่งจัดทำเสร็จภายหลัง คือเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558 กลับระบุว่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2557 อยู่ที่ 27,634 เมกะวัตต์ หรือเป็นการพยากรณ์สูงเกินสิ่งที่ผ่านไปแล้วถึง 691.5 เมกะวัตต์ หรือสูงเกินจริงเกือบเทียบเท่าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ประมาณ 1 โรง

ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2558 เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558 อยู่ที่ 27,346 เมกะวัตต์ แต่แผน PDP 2015 ซึ่งจัดทำเสร็จภายหลัง คือเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558 กลับระบุว่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2558 อยู่ที่ 29,051 เมกะวัตต์ หรือเป็นการพยากรณ์สูงเกินสิ่งที่ผ่านไปแล้วถึง 1,705.5 เมกะวัตต์ หรือสูงเกินจริงเกือบเทียบเท่าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ประมาณ 2.43 โรง

นี่คือการดันตัวเลขที่แปลกประหลาดอยู่มาก เพราะถ้าจุดเริ่มต้นของปีแรกๆในแผนงานมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเกินจริง ก็จะนำไปสู่การจัดหาการสำรองไฟฟ้าสูงไปกว่านั้น และการสร้างโรงไฟฟ้ามากยิ่งไปกว่านั้นด้วย และทำให้อัตราการเจริญเติบโตอยู่บนฐานเริ่มต้นที่สูงเกินจริง ก็ยิ่งสะสมและทบต้นทำให้ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเกินจริงตลอดทั้งแผน 20 ปีไปด้วย ใช่หรือไม่?

ข้อสำคัญการสร้างโรงไฟฟ้าให้สูงเกินจริงนั้นจะถูกนำมาคำนวณเป็นค่าไฟฟ้าให้มาเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนทุกคนสูงเกินจริงไปด้วย !!!

บางคนอาจจะอ้างว่าแผน PDP 2015 เป็นการพยากรณ์ตามวิชาการคำนวณหรือสมมุติฐานระยะยาวจะเอาตัวเลขเฉพาะปีเริ่มต้นมาปรับให้เข้ากับความจริงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องตอบคำถามให้ชัดเจนว่าแผนพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตต่อปีของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดนั้นเป็นเป็นไปโดยสุจริตทางวิชาการจริงหรือ?

แผน PDP 2015 เริ่มต้นอ้างว่าปี พ.ศ. 2558 พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 29,051 เมกะวัตต์ (ซึ่งสูงเกินจริง) และปลายสุดของแผนคือปี พ.ศ. 2579 พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 49,655 เมกะวัตต์ แต่แผน PDP กลับใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนัก” พยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดต่อปีให้สูงเกินจริงใน 6 ปีแรกคือ ระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2563 มีอัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นต่อปี อยู่ระหว่าง 3.49% - 5.13% (สูงกว่าการพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปอย่างมากมายมหาศาล ที่ไม่มีเค้าทางความเป็นจริงเลยแม้ในขณะพยากรณ์)

ในขณะที่ 14 ปีหลังคือระหว่างปี พ.ศ. 2564- 2579 กลับพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดต่อปีอยู่ระหว่าง 1.57% - 2.78% เท่านั้น ทำให้ฐานความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดถูกผลักไปในช่วงแรกๆของแผนให้สูงขึ้นผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแม้แต่น้อย

และเสมือนมีเจตนาถ่วงน้ำหนักแผนเพื่อต้องเร่งสร้างโรงไฟฟ้าให้เกินจริงตั้งแต่ช่วงแรกๆ ใช่หรือไม่?

แต่ความอัปลักษณ์ไม่ได้มีเฉพาะการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่มากเกินความเป็นจริงเท่านั้น เพราะแผนผลิตไฟฟ้าและการสำรองไฟฟ้าพึ่งได้ของแผน PDP 2015 สูงไปกว่านั้นอย่างมากมายมหาศาลเกินความจำเป็นยิ่งกว่านั้นอีก

เมื่อความจริงปรากฏดังที่กล่าวข้างต้น วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 นายชวลิต พิชาลัย รองปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงผ่านเว็บไซต์ศูนย์บริการร่วม (Service Center) ของกระทรวงพลังงานยอมรับว่า

“กระทรวงพลังงาน ไขปัญหาไฟฟ้าสำรองสูงตามแผน PDP 2015 ยันระยะยาวจะรักษาระดับไม่เกิน 15% ในช่วงปลายแผน แจงช่วงปี 2562-2567 สำรองไฟฟ้าที่สูงขึ้น คาดมีทางออกขายไฟฟ้าให้เพื่อนบ้านแบบ Grid to Grid (โครงข่ายเชื่อมโครงข่าย) กับประเทศเมียร์มา หวังช่วยผ่อนคลายไฟฟ้าสำรองให้ลดลง”

จากหลักฐานข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฟฟ้าเราจะไม่ขาดแคลน อีกทั้งยังล้นเหลือมาเกินพอที่จะส่งออกไปต่างประเทศได้แล้ว ประเทศไทยจึงควรชะลอแผนสร้างโรงไฟฟ้าทุกประเภทลง ไม่ให้มาเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนโดยไม่จำเป็น

และข้ออ้างเรื่องความ “เร่งรีบ” ควรยุติได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจถูกตีความไปว่า “เร่งรีบเพื่อเร่งงาบเข้ากระเป๋าใครบางคน” แทน

ปีนี้คือปี พ.ศ. 2558 แต่เรามีไฟฟ้าล้นเกินไปจนถึงปี 2567 แปลว่าเรามีเวลา 9 ปี และหากเป็นไปตามที่เคยมีการชี้แจงว่าเราต้องเตรียมตัวสร้างโรงไฟฟ้าล่วงหน้า 6-7 ปี แปลว่าเรามีเหลือเวลาอีก 3-4 ปี ซึ่งเพียงพอที่จะแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมให้เกิดความสมบูรณ์ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ก่อนที่จะตัดสินใจให้มีการขุดเจาะและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ใช่หรือไม่?

และถ้าแผน PDP 2015 ปรับใหม่อย่างสุจริตและตรงไปตรงมาแล้ว จากข้อมูลข้างต้นเราจะไม่มีความจำเป็นต้องเร่งโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่โรงเดียว จริงไหม?

และในความเป็นจริงแผน PDP 2015 ก็ไม่ได้นำเรื่องการมีแหล่งพลังงานแห่งใหม่จากความคิดที่จะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เข้ามารวมอยู่ด้วยเลย การอ้างเรื่องไฟฟ้าจะดับหากไม่เร่งเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายให้สมบูรณ์ก่อนจึงฟังไม่ขึ้น

แม้อาจจะมีความห่วงใย”ความไม่ต่อเนื่อง” เฉพาะแหล่งปิโตรเลียมเอราวัณและบงกชที่จะหมดอายุสัมปทานลงในอีก 6-7 ปีข้างหน้า ภาคประชาชนอย่างเครือข่ายประชาชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ก็ยังได้เสนอ 3 มาตรการ ในการนำก๊าซธรรมชาติของเครือ ปตท.ในส่วนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และทำการเปิดประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตแหล่งก๊าซธรรมชาติ 5 แปลงในอ่าวไทย พร้อมส่งเสริมปลูกพืชพลังงานให้ได้ 200 เมกะวัตต์ต่อปี ก็จะทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะไม่ขาดแคลนไฟฟ้า แถมยังทวงคืนแหล่งเอราวัณและบงกชกลับคืนมาเป็นของรัฐได้ 100% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วย เพียงแต่รัฐบาลแสร้งไม่ได้ยิน แสร้งไม่เห็น และไม่ตอบใดๆ ได้แต่นิ่งเฉย

ด้วยเหตุผลนี้เราจึงมีเวลามากพอที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนสูงสุดได้อย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันในปัจจุบันราคาปิโตรเลียมทั่วโลกได้ลดลงไปอย่างมาก และแนวโน้มจะมีราคาลงในระยะยาวด้วย จึงไม่ใช่เวลาเร่งรีบในการนำทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีราคาต่ำๆมาให้สิทธิ์ขุดเจาะและผลิตปิโตรเลียมในบรรยากาศการแข่งขันต่ำ สู้เก็บเอาไว้ใช้ในประเทศในเวลาบรรยากาศที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ และใช้เวลานี้ทำการปรับปรุงกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแทน จะดีกว่าหรือไม่?

ส่วนตรรกะที่ว่า แหล่งปิโตรเลียมไทย กระเปาะเล็ก ต้นทุนสูง ทำยาก ตรรกะเหล่านี้มีเอาไว้เพื่อพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อว่าควรจะต้องใช้ระบบสัมปทาน ในเงื่อนไขผ่อนปรนให้มาก เพื่อสร้างความชอบธรรมว่าที่ผ่านมาไม่มีการประมูลแข่งขันราคากันได้จริงนั้นถูกต้องแล้ว จึงต้องประเคนแหล่งปิโตรเลียมให้ทุนพลังงานง่ายๆแทน

แต่หากพิจารณาถึงสามัญสำนึกปกติต่อความเป็นจริง การอ้างว่าประเทศไทยจะแทบไม่พบปิโตรเลียม กระเปาะเล็ก แล้วจะมาอ้างเปิดสัมปทานเพื่อความมั่นคงทางพลังงานได้อย่างไร? และจะมาแก้วิกฤติไฟฟ้าดับได้อย่างไร?

ยิ่งอ้างว่าน้ำมันเรามีคุณภาพสูงหรือ ปรอทสูงจึงควรไปต้องส่งออกไปต่างประเทศแล้ว ก็ยิ่งไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องพลังงานขาดแคลนในประเทศตามที่กล่าวอ้างแต่ประการใด จริงไหม?

และถึงแม้จะกระเปาะเล็ก หรือ กระเปาะใหญ่ การทำกฎหมายให้เกิดการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเสรีจริงในทางปฏิบัติ จะเป็นตัวกำหนดเองว่าราคาที่เหมาะสมแต่ละแหล่งควรจะเป็นอย่างไรตามกลไกตลาด ไม่ใช่มาใช้ความเห็นส่วนตัวของผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งหลายให้มากีดกันการสร้างบรรยากาศการแข่งขันเสรีให้เกิดขึ้นจริง ปกป้องกลุ่มทุนพลังงานของกลุ่มตัวเองอย่างหน้าด้านๆ

คนเหล่านี้เป็นกลุ่มชนเผ่าที่ล้าหลังที่ควรสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว!!!

การประมูลคลื่นความถี่ 4 จี ที่มีการแข่งขันกันอย่างแท้จริงจนได้ราคาประมูลสูงสุดในประวัติศาสตร์กิจการโทรคมนาคมของไทย ควรจะเป็นบรรทัดฐานว่าทรัพยากรไทยทุกประเภทโดยเฉพาะ “ปิโตรเลียม” ว่าสมควรจะต้องสร้างบรรยากาศการแข่งขันให้เกิดขึ้นจริงได้เสียทีแล้ว ถ้ามองว่าพลังงานเป็นทรัพยากรของชาติจะต้องสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักสำคัญ

และกลุ่มทุนพลังงานล้าหลัง ชื่นชอบการผูกขาด ปราศจากการประมูลแข่งขันอย่างเสรี (ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น) ก็ควรจะรู้ว่าประชาชนชาวไทยไม่มีทางจะให้พลังงานไทยที่เป็นสมบัติของชาติ ให้มาถูกบิดเบือนเป็นพลังงาบของใครบางคนอีกต่อไป !!!



กำลังโหลดความคิดเห็น