นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ว่า สิ่งที่สังคมคาดหวังคือ การปฏิรูป การทำอย่างไรให้การเมืองสงบเรียบร้อย กลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ไม่ย้อนกลับมาสู่ภาวะวิกฤติ ซึ่งหลักการที่นายกฯพูด คงไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม ยังคงให้ความสำคัญที่จะต้องปฏิรูป 6 ด้าน กว้างๆ แต่ไม่ทราบว่ารูปธรรมแต่ละเรื่อง คือ อะไร ในแง่ของการเมืองก็เป็นการพูดในหลักการที่เราก็ฟังมาบ่อย ว่าไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง อย่าเอาเรื่องการเมืองมาเป็นตัวเป็นอุปสรรคที่จะให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมนอกจากการ ยืนยันแนวคิด หลักคิด และกรอบเวลาต่างๆที่เคยพูดมาแล้ว
ส่วนผลงานด้านความมั่นคง ต้องยอมรับในแง่ของความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการใช้อำนาจในการเข้าไปขจัด หรือลดอำนาจอิทธิพลที่ไม่ถูกต้องต่างๆ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของรัฐบาล ส่วนปัญหาภาคใต้ ก็ต้องรอดูความคืบหน้าต่อไป เพราะตนคิดว่าตัวเลข ความรุนแรง หรือความถี่อาจจะลดลงก็จริง แต่ไม่ใช่ภาวะที่จะมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแก้ไขปัญหาได้แล้ว ดังนั้นการที่จะแก้ปัญหาระยะยาว ก็คงจะเป็นเรื่องที่ท้าทายของรัฐบาลต่อไป
ส่วนที่นายกฯ เปรียบคสช. เป็นเสมือนหมอ ที่อาสาเข้ามาดูแลอาการป่วยของประเทศนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในคำพูดนั้นก็ย้อนกลับไปที่ตัวเองเหมือนกันว่า ได้ผ่าตัดอะไร ที่จะทำให้ผู้เล่นไม่เหมือนเดิม ซึ่งตรงนี้เป็นรอยต่อที่มีความละเอียดอ่อนในหลายมิติมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้เล่นที่เป็นนักการเมือง ความจริงผู้เล่นที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือประชาชน ตรงนี้เราทำอะไร อย่างไร ในการที่จะทำให้การใช้สิทธิ เสรีภาพก็ดี การมีส่วนร่วมในทางการเมืองก็ดี กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลก็ดี ให้เจ้าของประเทศที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่จะมาช่วยระงับ ยับยั้ง ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนกับก่อน 22 พ.ค.57 ตรงนี้ที่คิดว่ายังไม่มีคำตอบ แล้วก็ต้องเป็นภาระหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะช่วยกันหาคำตอบ
สำหรับผลงานด้านเศรษฐกิจ ตนยังกังวลอยู่ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลก็ยอมรับว่าจำเป็นจะต้องทำ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหา ยังไม่มีความชัดเจนเพิ่มเติมว่า จะทำในรูปแบบไหน อย่างไร และปมปัญหาที่ยังเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของปัจจัยภายนอก รวมทั้งแรงกดดันต่างๆ เช่น การบิน การประมง ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม หรือเรื่องของภัยแล้ง ที่บอกว่า ยังอยู่ในกรอบที่จะขอความร่วมมือ หรือเรื่องเอาบริษัทเอกชนมาช่วยดูเรื่องพืชทดแทน ตนมองว่า ไม่สามารถสร้างความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ รัฐบาลต้องชัดเจนว่า จะช่วยเหลืออย่างไร เพื่อให้เกษตรกรตัดสินใจได้ง่าย
ส่วนมาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งช่วยชาติ ในช่วง 25–31 ธ.ค.นั้น ตนเข้าใจในเจตนาของรัฐบาล แต่เป็นการออกมาตรการที่กระทันหันเกินไป และอยากให้ดูการช่วยเหลือคนที่ไม่มีกำลังซื้อมากกว่า เช่น กรณีสถานการณ์ข้าวตอนนี้ ภาคอีสานเดือดร้อนมาก ราคาข้าวตกต่ำ ตนยืนยันว่า นโยบายประกันรายได้ ที่เคยทำน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจโดยธรรมชาติ ขณะที่มาตรการหักลดหย่อนภาษี คนที่จะได้ประโยชน์คือ คนที่มีกำลังซื้อ แต่ คนไม่มีกำลังซื้อ ก็ไม่สามารถช่วยได้ และคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็มีจำนวนค่อนข้างน้อย คนที่มีรายได้ค่อนข้างจะต่ำลงไปก็ไม่อยู่ในฐานะที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ รายได้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
"ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่ของการอยากให้คนใช้จ่ายมากขึ้น รัฐบาลควรหาทางเอารายได้ไปให้คนที่เขาไม่มี จะดีกว่าไปลดหย่อนให้คนที่เขามีอยู่แล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** รำให้ดี อย่ามัวโทษปี่ โทษกลอง
ด้านนายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวว่า การแถลงผลงานของรัฐบาล เป็นเพียงความพยายามโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน งานหลายด้านไม่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่มองไม่เห็นทาง ว่าจะแก้ไขปัญหาได้ในทุกระดับ เพราะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนัก จึงไม่ควรวาดภาพว่า เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หรือฟื้นตัวแล้ว ควรยอมรับความจริง แล้วใช้นโยบายลดรายจ่าย มากกว่า พยายามเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ควรพิจารณาความคุ้มค่าให้ครบทุกมิติเสียก่อน
ส่วนด้านสังคม โดยเฉพาะการศึกษา ที่ไปลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ นั้นควรไปสอบถามครูผู้สอนว่า สร้างปัญหาให้มากกว่าการพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างที่กระทรวงศึกษาฯ ได้ให้แนวทางไว้หรือไม่
"ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงตนเพื่อเป็นผู้ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติ บนเส้นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ควรสิ้นเปลืองเวลา มากล่าวโทษโน่น โทษนี่ โทษคนนั้น คนนี้ หรือโทษบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างที่เป็นอยู่ เพราะในขณะที่รัฐบาลบอกว่า พร้อมที่จะเปิดกว้างรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย แต่เมื่อมีการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกับรัฐบาล ก็โมโห กล่าวหาว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือบ้าง ไม่รักชาติบ้าง ซึ่งมันไม่ถูกต้อง" นายอุเทน กล่าว
ส่วนผลงานด้านความมั่นคง ต้องยอมรับในแง่ของความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการใช้อำนาจในการเข้าไปขจัด หรือลดอำนาจอิทธิพลที่ไม่ถูกต้องต่างๆ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของรัฐบาล ส่วนปัญหาภาคใต้ ก็ต้องรอดูความคืบหน้าต่อไป เพราะตนคิดว่าตัวเลข ความรุนแรง หรือความถี่อาจจะลดลงก็จริง แต่ไม่ใช่ภาวะที่จะมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแก้ไขปัญหาได้แล้ว ดังนั้นการที่จะแก้ปัญหาระยะยาว ก็คงจะเป็นเรื่องที่ท้าทายของรัฐบาลต่อไป
ส่วนที่นายกฯ เปรียบคสช. เป็นเสมือนหมอ ที่อาสาเข้ามาดูแลอาการป่วยของประเทศนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในคำพูดนั้นก็ย้อนกลับไปที่ตัวเองเหมือนกันว่า ได้ผ่าตัดอะไร ที่จะทำให้ผู้เล่นไม่เหมือนเดิม ซึ่งตรงนี้เป็นรอยต่อที่มีความละเอียดอ่อนในหลายมิติมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้เล่นที่เป็นนักการเมือง ความจริงผู้เล่นที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือประชาชน ตรงนี้เราทำอะไร อย่างไร ในการที่จะทำให้การใช้สิทธิ เสรีภาพก็ดี การมีส่วนร่วมในทางการเมืองก็ดี กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลก็ดี ให้เจ้าของประเทศที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่จะมาช่วยระงับ ยับยั้ง ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนกับก่อน 22 พ.ค.57 ตรงนี้ที่คิดว่ายังไม่มีคำตอบ แล้วก็ต้องเป็นภาระหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะช่วยกันหาคำตอบ
สำหรับผลงานด้านเศรษฐกิจ ตนยังกังวลอยู่ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลก็ยอมรับว่าจำเป็นจะต้องทำ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหา ยังไม่มีความชัดเจนเพิ่มเติมว่า จะทำในรูปแบบไหน อย่างไร และปมปัญหาที่ยังเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของปัจจัยภายนอก รวมทั้งแรงกดดันต่างๆ เช่น การบิน การประมง ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม หรือเรื่องของภัยแล้ง ที่บอกว่า ยังอยู่ในกรอบที่จะขอความร่วมมือ หรือเรื่องเอาบริษัทเอกชนมาช่วยดูเรื่องพืชทดแทน ตนมองว่า ไม่สามารถสร้างความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ รัฐบาลต้องชัดเจนว่า จะช่วยเหลืออย่างไร เพื่อให้เกษตรกรตัดสินใจได้ง่าย
ส่วนมาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งช่วยชาติ ในช่วง 25–31 ธ.ค.นั้น ตนเข้าใจในเจตนาของรัฐบาล แต่เป็นการออกมาตรการที่กระทันหันเกินไป และอยากให้ดูการช่วยเหลือคนที่ไม่มีกำลังซื้อมากกว่า เช่น กรณีสถานการณ์ข้าวตอนนี้ ภาคอีสานเดือดร้อนมาก ราคาข้าวตกต่ำ ตนยืนยันว่า นโยบายประกันรายได้ ที่เคยทำน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจโดยธรรมชาติ ขณะที่มาตรการหักลดหย่อนภาษี คนที่จะได้ประโยชน์คือ คนที่มีกำลังซื้อ แต่ คนไม่มีกำลังซื้อ ก็ไม่สามารถช่วยได้ และคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็มีจำนวนค่อนข้างน้อย คนที่มีรายได้ค่อนข้างจะต่ำลงไปก็ไม่อยู่ในฐานะที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ รายได้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
"ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่ของการอยากให้คนใช้จ่ายมากขึ้น รัฐบาลควรหาทางเอารายได้ไปให้คนที่เขาไม่มี จะดีกว่าไปลดหย่อนให้คนที่เขามีอยู่แล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** รำให้ดี อย่ามัวโทษปี่ โทษกลอง
ด้านนายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวว่า การแถลงผลงานของรัฐบาล เป็นเพียงความพยายามโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน งานหลายด้านไม่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่มองไม่เห็นทาง ว่าจะแก้ไขปัญหาได้ในทุกระดับ เพราะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนัก จึงไม่ควรวาดภาพว่า เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หรือฟื้นตัวแล้ว ควรยอมรับความจริง แล้วใช้นโยบายลดรายจ่าย มากกว่า พยายามเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ควรพิจารณาความคุ้มค่าให้ครบทุกมิติเสียก่อน
ส่วนด้านสังคม โดยเฉพาะการศึกษา ที่ไปลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ นั้นควรไปสอบถามครูผู้สอนว่า สร้างปัญหาให้มากกว่าการพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างที่กระทรวงศึกษาฯ ได้ให้แนวทางไว้หรือไม่
"ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงตนเพื่อเป็นผู้ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติ บนเส้นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ควรสิ้นเปลืองเวลา มากล่าวโทษโน่น โทษนี่ โทษคนนั้น คนนี้ หรือโทษบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างที่เป็นอยู่ เพราะในขณะที่รัฐบาลบอกว่า พร้อมที่จะเปิดกว้างรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย แต่เมื่อมีการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกับรัฐบาล ก็โมโห กล่าวหาว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือบ้าง ไม่รักชาติบ้าง ซึ่งมันไม่ถูกต้อง" นายอุเทน กล่าว