กาลเวลาเป็นปัจจัยการผลิตที่แพงที่สุดโดยค่าของตัวมันเอง และเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นในกระบวนการผลิต กล่าวคือ เมื่อเกี่ยวข้องกับแรงงาน ก็เป็นค่าจ้างและเงินเดือน เมื่อเกี่ยวข้องกับเงินทุน ก็เป็นดอกเบี้ย เมื่อเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ ก็เป็นค่าเสื่อม เมื่อเกี่ยวข้องกับตัวมันเอง ก็เป็นโอกาส และสุดท้ายเมื่อเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่ง ก็เป็นอายุ
ดังนั้น ทุกวินาทีของกาลเวลาที่ผ่านเข้ามาจึงมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคน เพราะเวลาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วก็ผ่านไป ไม่หวนกลับมาอีกกลายเป็นอดีตถาวร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ทุกชีวิตจะมีอายุเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของอายุ ถ้ามองในแง่ปรัชญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธปรัชญาแล้ว มิได้เพิ่มขึ้นแต่ลดลงจากที่ควรจะมีและควรจะเป็น ดังนั้น จึงทำให้ได้ข้อคิดจากการเพิ่มขึ้นของอายุก็คือ อายุที่เราได้มาก็คือเวลาที่เราเสียไปนั่นเอง โดยปกติคนเรามีอายุเต็มที่ 100 ปีหรือกว่านี้ก็ไม่มาก และถ้าในขณะนี้เรามีอายุ 50 ปีก็เท่ากับเหลืออยู่อีก 50 ปี จึงเท่ากับได้สูญเสียไปแล้ว 50 ปี และในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีจะลดลงหนึ่งปีจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปี 2558 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และในวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่ 1 มกราคมของปี 2559 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่
ดังนั้น วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี จึงเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อแห่งกาลเวลาระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ และเมื่อถึงวันนี้ ถ้าเรามองย้อนไปในปี 2558 ก็จะเป็นอดีต และถ้ามองไปข้างหน้าในปี 2559 ก็จะเป็นอนาคต
เมื่อเรามองในลักษณะดังกล่าวข้างต้น และลองถามตนเองว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรบ้าง ทั้งที่ดีมีประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม และที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม
ในลักษณะดังกล่าว เราก็จะพบว่าเราทุกคนได้ทำทั้งสิ่งดีและไม่ดีมากบ้างน้อยบ้าง
อันใดเป็นสิ่งดี ก็ทำให้ผู้กระทำมีความสุข และในทางกลับกัน อันใดไม่ดีก็ทำให้ผู้กระทำเป็นทุกข์เดือดร้อน
นอกจากทุกคนจะเป็นทุกข์ และเดือดร้อนจากการกระทำของแต่ละคนแล้ว คนไทยทุกคนในฐานะพลเมืองของประเทศทุกคนจะเดือดร้อนจากพฤติกรรมของสังคมโดยรวม ในทำนองทุกข์ร่วมกันในหลายด้านดังต่อไปนี้
1. ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ในรอบปี 2558 ที่ผ่านมา คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ในสังคมเมืองจะเดือดร้อนจากการก่ออาชญากรรม ลักขโมย จี้ปล้น และฆ่าข่มขืน ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความยากจน การติดยาเสพติด และการพนัน
2. ข้าวของแพง
ทุกคนทั่วประเทศไทยเดือดร้อนจากการที่สินค้าอุปโภคบริโภคแพง อันเนื่องมาจากค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และการมีรายได้ลดลง อันเนื่องมาจากปัญหาว่างงาน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศตกต่ำ
ดังนั้น เมื่อปีเก่าผ่านไป ทุกคนต่างคาดหวังว่าปีใหม่ชีวิตจะดีขึ้น ส่วนจะดีขึ้นหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน คงจะต้องอาศัยโหราศาสตร์ในการคาดการณ์ควบคู่ไปกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์
แต่ในที่นี้ ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่นจะขอคาดการณ์หรือพยากรณ์ดังต่อไปนี้
1. จากวันที่ 16 มกราคม 2559-4 สิงหาคม 2560 ดาวราหูจะย้ายจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีสิงห์ และอยู่ในเรื่องนี้ตลอด จึงทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ การส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น
2. แต่ในช่วงวันที่ 15 ธันวาคม 2558-6 กุมภาพันธ์ 2559 การเมืองจะสับสนวุ่นวาย อันเนื่องมาจากปัญหารัฐบาลและจะจบลงด้วยการปรับ ครม.โดยการนำรัฐมนตรีบางคนซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายออกไป แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่กระทบทางด้านเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจมั่นคงขึ้นด้วย เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
3. จากวันที่ 8 มีนาคม-8 สิงหาคม 2559 จะเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างการเมืองกับกองทัพ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งให้หมดไป อาจส่งผลกระทบถึงรัฐบาลถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ดาวพฤหัสบดีส่งผลในทางบวกแก่รัฐบาล จึงน่าจะแก้ความวุ่นวายสับสนได้
ส่วนในด้านปัญหาทางสังคมจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงวันที่ 8 มีนาคม-8 สิงหาคมแล้ว
ดังนั้น ปมของปัญหาจึงขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาแรกคือ วันที่ 15 ธันวาคม 2558-6 กุมภาพันธ์ 2559 ถ้าช่วงแรกแก้ไขความขัดแย้งไม่ได้ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนโดยการปรับ ครม.บางส่วนไปแล้ว ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เนื่องจากเหตุแห่งปัญหาและเป็นที่มาของความขัดแย้งยังคงอยู่หลังวันที่ 8 มีนาคม 2559 การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าเดิมด้วย
โดยสรุปในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2558 แล้วจะดีขึ้นแทบทุกด้าน ยกเว้นด้านความมั่นคงทางการเมือง
อีกประการหนึ่ง ในปี 2559 ดาวมฤตยูจะโคจรเข้ามาทับลัคนาของดวงเมือง จะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ในช่วงวันที่ 15 กันยายน-1 พฤศจิกายน 2559 เช่น มีการสูญเสียสิ่งอันล้ำค่าของประเทศ หรือเกิดอุบัติภัยครั้งใหม่ เป็นต้น เนื่องจากดาวพฤหัสบดีเข้าเรือนอริ และอังคารทำมุมตรีโกณฑ์ดวงเมืองพร้อมกัน ดาวเสาร์เล็งเจ้าเรือนลัคนาดวงเมือง
ดังนั้น ทุกวินาทีของกาลเวลาที่ผ่านเข้ามาจึงมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคน เพราะเวลาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วก็ผ่านไป ไม่หวนกลับมาอีกกลายเป็นอดีตถาวร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ทุกชีวิตจะมีอายุเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของอายุ ถ้ามองในแง่ปรัชญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธปรัชญาแล้ว มิได้เพิ่มขึ้นแต่ลดลงจากที่ควรจะมีและควรจะเป็น ดังนั้น จึงทำให้ได้ข้อคิดจากการเพิ่มขึ้นของอายุก็คือ อายุที่เราได้มาก็คือเวลาที่เราเสียไปนั่นเอง โดยปกติคนเรามีอายุเต็มที่ 100 ปีหรือกว่านี้ก็ไม่มาก และถ้าในขณะนี้เรามีอายุ 50 ปีก็เท่ากับเหลืออยู่อีก 50 ปี จึงเท่ากับได้สูญเสียไปแล้ว 50 ปี และในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีจะลดลงหนึ่งปีจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปี 2558 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และในวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่ 1 มกราคมของปี 2559 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่
ดังนั้น วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี จึงเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อแห่งกาลเวลาระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ และเมื่อถึงวันนี้ ถ้าเรามองย้อนไปในปี 2558 ก็จะเป็นอดีต และถ้ามองไปข้างหน้าในปี 2559 ก็จะเป็นอนาคต
เมื่อเรามองในลักษณะดังกล่าวข้างต้น และลองถามตนเองว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรบ้าง ทั้งที่ดีมีประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม และที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม
ในลักษณะดังกล่าว เราก็จะพบว่าเราทุกคนได้ทำทั้งสิ่งดีและไม่ดีมากบ้างน้อยบ้าง
อันใดเป็นสิ่งดี ก็ทำให้ผู้กระทำมีความสุข และในทางกลับกัน อันใดไม่ดีก็ทำให้ผู้กระทำเป็นทุกข์เดือดร้อน
นอกจากทุกคนจะเป็นทุกข์ และเดือดร้อนจากการกระทำของแต่ละคนแล้ว คนไทยทุกคนในฐานะพลเมืองของประเทศทุกคนจะเดือดร้อนจากพฤติกรรมของสังคมโดยรวม ในทำนองทุกข์ร่วมกันในหลายด้านดังต่อไปนี้
1. ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ในรอบปี 2558 ที่ผ่านมา คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ในสังคมเมืองจะเดือดร้อนจากการก่ออาชญากรรม ลักขโมย จี้ปล้น และฆ่าข่มขืน ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาความยากจน การติดยาเสพติด และการพนัน
2. ข้าวของแพง
ทุกคนทั่วประเทศไทยเดือดร้อนจากการที่สินค้าอุปโภคบริโภคแพง อันเนื่องมาจากค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และการมีรายได้ลดลง อันเนื่องมาจากปัญหาว่างงาน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศตกต่ำ
ดังนั้น เมื่อปีเก่าผ่านไป ทุกคนต่างคาดหวังว่าปีใหม่ชีวิตจะดีขึ้น ส่วนจะดีขึ้นหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน คงจะต้องอาศัยโหราศาสตร์ในการคาดการณ์ควบคู่ไปกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์
แต่ในที่นี้ ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่นจะขอคาดการณ์หรือพยากรณ์ดังต่อไปนี้
1. จากวันที่ 16 มกราคม 2559-4 สิงหาคม 2560 ดาวราหูจะย้ายจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีสิงห์ และอยู่ในเรื่องนี้ตลอด จึงทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ การส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น
2. แต่ในช่วงวันที่ 15 ธันวาคม 2558-6 กุมภาพันธ์ 2559 การเมืองจะสับสนวุ่นวาย อันเนื่องมาจากปัญหารัฐบาลและจะจบลงด้วยการปรับ ครม.โดยการนำรัฐมนตรีบางคนซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายออกไป แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่กระทบทางด้านเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจมั่นคงขึ้นด้วย เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
3. จากวันที่ 8 มีนาคม-8 สิงหาคม 2559 จะเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างการเมืองกับกองทัพ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งให้หมดไป อาจส่งผลกระทบถึงรัฐบาลถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ดาวพฤหัสบดีส่งผลในทางบวกแก่รัฐบาล จึงน่าจะแก้ความวุ่นวายสับสนได้
ส่วนในด้านปัญหาทางสังคมจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงวันที่ 8 มีนาคม-8 สิงหาคมแล้ว
ดังนั้น ปมของปัญหาจึงขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาแรกคือ วันที่ 15 ธันวาคม 2558-6 กุมภาพันธ์ 2559 ถ้าช่วงแรกแก้ไขความขัดแย้งไม่ได้ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนโดยการปรับ ครม.บางส่วนไปแล้ว ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เนื่องจากเหตุแห่งปัญหาและเป็นที่มาของความขัดแย้งยังคงอยู่หลังวันที่ 8 มีนาคม 2559 การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าเดิมด้วย
โดยสรุปในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2558 แล้วจะดีขึ้นแทบทุกด้าน ยกเว้นด้านความมั่นคงทางการเมือง
อีกประการหนึ่ง ในปี 2559 ดาวมฤตยูจะโคจรเข้ามาทับลัคนาของดวงเมือง จะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ในช่วงวันที่ 15 กันยายน-1 พฤศจิกายน 2559 เช่น มีการสูญเสียสิ่งอันล้ำค่าของประเทศ หรือเกิดอุบัติภัยครั้งใหม่ เป็นต้น เนื่องจากดาวพฤหัสบดีเข้าเรือนอริ และอังคารทำมุมตรีโกณฑ์ดวงเมืองพร้อมกัน ดาวเสาร์เล็งเจ้าเรือนลัคนาดวงเมือง