xs
xsm
sm
md
lg

ดาวมฤตยูทับดวงเมือง : เหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ตามนัยแห่งเนื้อหาทางวิชาการของโหราศาสตร์ ดวงดาวแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ

1. บาปพระเคราะห์ให้คุณในการใช้พระเดช คือ ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว และให้โทษในการทำลาย เช่น เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุเจ็บป่วย เป็นต้น ดาวฝ่ายนี้ก็คือ ดาวอาทิตย์หรือเลข 1 ดาวอังคารหรือเลข 3 ดาวเสาร์หรือเลข 7 ดาวราหูหรือเลข 8 และดาวมฤตยูหรือเลข 0

2. ดาวบาปพระเคราะห์แต่ละดวงให้คุณ และโทษแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบของดาวแต่ละดวง เช่น ธาตุ เรือน และความสัมพันธ์ เป็นต้น
ดาวศุภเคราะห์ให้คุณในทางวาสนา และความมีคุณธรรม และให้โทษคือความอ่อนแอ ไม่กล้าตัดสินใจ รวมไปถึงการเป็นสุขนิยม ซึ่งมักจะกลายเป็นเหยื่อของการโกงได้ง่ายๆ เป็นต้น

ด้วยเหตุที่ดาวทั้งสองฝ่ายให้คุณโทษที่แตกต่างกัน

ดังนั้น ดวงชะตาของบุคคลที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตในโลกของโลกียชนซึ่งปะปนกันอยู่ระหว่างคนดีและคนเลวนั้น จะต้องมีดวงดาวทั้งฝ่ายบาปพระเคราะห์ และฝ่ายศุภเคราะห์ในเรือนชะตาหรือในพื้นดวงเดิม โดยมีทางสัมพันธ์ถ่วงดุลกันเพื่อให้เกิดความพอดี พอเหมาะ และสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินชีวิต

ในการออกฤกษ์เพื่อก่อตั้งกิจการ อันเป็นนิติบุคคล เช่น การก่อตั้งบริษัท ห้างร้าน รวมไปถึงการวางดวงฤกษ์ในงานพิธีต่าง และการวางพระฤกษ์ดวงเมืองก็ใช้หลักเกณฑ์ และวิธีการเดียวกันนี้

ดวงเมืองกรุงเทพฯ ก็คือดวงพระฤกษ์ในการตั้งเสาหลักเมือง ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 06.05 น. โดยมีลัคนาและดวงดาวปรากฏในเรือนชะตาดังนี้

1. พื้นดวงหมายถึงความมี และความเป็นซึ่งมาพร้อมกับการเกิด ถ้าเป็นดวงบุคคลก็หมายถึงความมี และความเป็นของบุคคลที่เกิดมาในขณะที่ดวงดาวโคจรอยู่ในราศีนั้น โดยมีจุดเริ่มต้นลัคนา

แต่ถ้าเป็นดวงฤกษ์ก็เป็นการเริ่มของกิจการหรือกิจกรรม

2. ดวงจรหมายถึงดาวต่างๆ ที่โคจรไปตามราศีต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา จากวินาที นาที ชั่วโมง ไปจนถึงปี และในขณะดาวแต่ละดวงโคจรไป ก็ส่งผลกระทบแก่ดวงชะตา ทั้งในแง่ดี และร้ายสลับปรับเปลี่ยนไป ในทำนองเดียวกับโลกธรรม 8 ประการตามนัยคำสอนของพระพุทธองค์

พื้นดวงกรุงเทพฯ

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้เขียนเคยเขียนในคอลัมน์นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้น จึงจะไม่เขียนเรื่องนี้ซ้ำอีก

แต่จะเขียนเกี่ยวกับลักษณะของผู้ปกครองประเทศ ตามนัยที่ปรากฏโดยอาศัยลัคนาและดวงดาวที่เกี่ยวข้องกันตามพื้นดวง

ในขณะเดียวกัน ดาวราหู และดาวศุกร์ซึ่งเป็นกาลกิณีตามทักษา กุมกันในเรือนวินาศ มีความหมายว่าไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความโลภ และหมกมุ่นอยู่ในกามสุข ควบคู่ไปกับการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ ปกครองบ้านเมืองโดยปราศจากอุปสรรคมาขัดขวาง และสุดท้ายจะต้องจบลงด้วยการโค่นอำนาจลงจากตำแหน่งไปพร้อมกับเสียงก่นด่าจากประชาชน มีตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในอดีตที่ผ่านมา

ส่วนดวงจร ซึ่งบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในอนาคตคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ โดยดูจากดาวใหญ่ 3 ดวงคือ พฤหัสบดี เสาร์ ราหู และมฤตยู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวมฤตยูซึ่งเป็นดาวที่โคจรช้าที่สุด โดยใช้เวลา 7 ปีต่อหนึ่งราศี ดังนั้น การจะคาดการณ์เหตุการณ์โดยอาศัยดาวดวงนี้ จะมีสถิติน้อยมากเพราะจะต้องรอถึง 84 ปีจึงจะเห็นดวงดาวนี้โคจรครบ 1 รอบ

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนหลังไปดูในระยะเวลา 84 ปี ย้อนหลังจากนี้ไปก็จะพบว่า เมื่อในเดือนตุลาคม 2519 ดาวมฤตยูร่วมกับดาวราหูทำมุมเล็งลัคนาดวงเมือง และครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น ทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตาย

ในเดือนกรกฎาคม 2558 ดาวมฤตยูจะโคจรทับลัคนา และดาวอาทิตย์โดยมีระยะให้โทษรุนแรงในช่วง 3 องศาแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 12 ก.ค.-30 ก.ย. หรืออาจมีแรงเฉื่อยถึงเดือนพฤศจิกายน 2558 ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างน้อยมีการปรับ ครม.และเปลี่ยนแปลงแล้วการเมืองจะดีขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากดาวพฤหัสบดีทำมุมตรีโกณลัคนา และดาวอาทิตย์ทั้งทำมุมตรีโกณพฤหัสบดี ซึ่งกุมเสาร์จะแก้ปัญหานี้ได้

ยิ่งกว่านี้ การที่ดาวพฤหัสบดีโคจรในตำแหน่งนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า ผู้นำรัฐบาลจะเป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ และประชาชนโดยรวม โดยยึดความถูกต้องเป็นหลัก และอยู่ในตำแหน่งนี้ได้โดยมีผลงานด้านปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน และการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ จึงจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่

แต่คนประเภทนี้อาจถูกต่อต้านขัดขวางจากคนกลุ่มน้อย ซึ่งเสียประโยชน์และเป็นภัยต่อความอยู่ดี กินดีของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ จึงอนุมานได้ว่า ถ้ามีการปรับและสามารถขจัดจุดด้อยออกไปพร้อมกับเพิ่มจุดเด่นเข้ามา รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพทางสังคม และการเมือง

โดยปกติแล้ว รัฐบาลไม่ว่าในระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย ถ้ามีเสถียรภาพ 2 ประเภทนี้แล้ว ความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็จะตามมา
กำลังโหลดความคิดเห็น