ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ระดับมือปราบค้ามนุษย์มือฉมังต้องหนีหัวซุกหัวซุน ต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และน่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ “ตัวการใหญ่” ที่ใหญ่ยิ่งกว่านายทหารใหญ่ระดับ พล.ท.ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการค้ามนุษย์ซึ่งถูกจับกุมไปแล้วนั้นคือใคร? ถึงแผ่รังสีอำมหิตสามารถทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ต้องหนีสุดชีวิต หนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว หวังเอาชีวิตรอด
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ เหตุไฉน บิ๊ก คสช.ทั้งหลายที่ส่งเขาไปทำงานเพื่อชาติเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับขบวนการค้ามนุษย์ถึงไม่ปกป้อง ไม่ให้ความคุ้มครอง หรือว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกโครงการคุ้มครองพยานไปแล้วหรืออย่างไร ทั้งที่ พล.ต.ต.ปวีณ ได้ร้องขอมาหลังถูกข่มขู่คุกคามจากการทำคดีซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเจ้าพนักงานพยานปากสำคัญในคดีด้วย งานนี้ “ถิ่มกัน” เห็นๆ
สะท้อนถึงความโหดร้าย ใจไม้ไส้ระกำของผู้มีอำนาจที่ใช้งานเขา โหดร้ายระดับนายังไม่เสร็จก็ฆ่าโคถึก ศึกยังไม่เสร็จแต่กลับฆ่าขุนพลกันเลยทีเดียว
หรือว่า บิ๊ก คสช. ก็รู้อยู่เต็มอกว่า “ตัวการใหญ่” ที่ไม่มีใครกล้าแตะนั้นเป็นใคร ถึงได้ตัดใจลอยแพหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฯ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม และใช่เพราะกลัว พล.ต.ต.ปวีณ นายตำรวจตงฉิน สืบสาวราวเรื่องลากดึงเอา “ตัวการใหญ่” ที่อยู่หลังฉากติดร่างแหขึ้นมา ใช่หรือไม่? ถึงต้องรีบตัดตอน
เพราะมีแต่ต้องทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ ไม่มีที่ยืนในเมืองไทยและเลวร้ายไปกว่านั้นคือไม่มีลมหายใจเท่านั้น ที่จะทำให้ความลับที่ว่าส่วยจากแก๊งค้ามนุษย์ซึ่งถูกส่งขึ้นมาตามลำดับชั้นนั้นส่งถึงชั้นสูงสุดระดับไหนและตัวการใหญ่ที่เป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลังจะยังสามารถเก็บงำเป็นความลับอยู่ต่อไป
กล่าวจำเพาะท่านผู้นำประเทศของไทยในเวลานี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) น่ากังขาว่าเหตุไฉนถึงความจำสั้นนัก ทั้งที่ประกาศชัดเจนว่าจะยกปัญหาค้ามนุษย์ เป็นวาระแห่งชาติ จะจัดการอย่างเฉียบขาด เมื่อคิดจะแก้ปัญหาค้ามนุษย์โดยให้ความสำคัญถึงระดับยกเป็นวาระแห่งชาติ แต่หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฯ ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำกับทีมงานอีกนับร้อยชีวิต กลับต้องหนีหัวซุกหัวซุนเป็น รางวัลตอบแทน
คงต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่านี่ใช่เรื่องถูกต้องแล้วหรืออย่างไร?
อย่างไรก็ตาม หากจะสะท้อนพฤติกรรมทั้งแล้งและไร้น้ำใจของผู้บังคับบัญชา พล.ต.ต.ปวีณ เห็นชัดมาตั้งแต่ตอนที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ที่มีชื่อ พล.ต.ต.ปวีณ ถูกส่งไปประจำ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว
ทำไม? มีปัญหาอะไร? ตำรวจทุกคนต้องรับใช้ชาติ โยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกพื้นที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอยู่แล้ว ย้ายไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วยังไง? อาจมีผู้ทำไขสือ แกล้งโง่ ตั้งข้อสงสัย ก็คงต้องตอบแบบย้ำคิด ย้ำทำว่า จะไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย หากพื้นที่ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)โยกย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ลงไปนั้น ไม่ใช่เขตอิทธิพลพื้นที่ของผู้หาคดีค้ามนุษย์ที่ถูกจับกุมนับร้อยราย และในจำนวนนั้นมีทั้งนายทหารใหญ่ระดับ พล.ท. ตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่น และพ่อค้า คหบดี ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งในพื้นที่ ไม่เช่นนั้น คงไม่ทำให้ พล.ต.ต.ปวีณมาถึงจุดนี้ที่ต้องหนีให้ไกลสุดขอบโลก
พล.ต.ต.ปวีณ รู้ชะตากรรมของตัวเองดีหากลงไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3จังหวัดชายแดนใต้ตามคำสั่งผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะใครๆ ก็คาดหมายได้ว่านี่เท่ากับส่งไปตาย เขาจึงร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมและเหมาะสม ไม่ใช่ส่งเขาไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในเขตอิทธิพลของกลุ่มผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ที่เขากำลังสืบสวนสอบสวนเช่นนี้ แต่ผู้บังคับบัญชาของเขาและท่านผู้นำของประเทศก็ทำตัวเสมือนกระบี่ไร้น้ำใจนอกจากจะไม่ดูดำดูดีแล้ว ยังจะเล่นงานเขากลับด้วยความผิดทางวินัยอีกด้วย
กระทั่งเมื่ออับจนหนทางถึงที่สุด พล.ต.ต.ปวีณ ก็จำใจยื่นใบลาออกจากชีวิตราชการที่ทำมากว่า 30 ปี แม้ว่าภายหลังการเข้าพบ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายมาให้พูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับพล.ต.ต.ปวีณ จะทำให้เขาได้ใคร่ครวญและคิดทบทวนการลาออก แต่ พล.ต.อ.จักร์ทิพย์ กลับไม่ให้โอกาสนั้น และลงนามเซ็นใบลาออกโดยไม่รั้งรอการยื่นขอทบทวนการตัดสินใจใหม่แต่อย่างใด
“ผมจะไม่มีการยับยั้งการลาออก และจะไม่มีการเรียก พลตำรวจตรี ปวีณ มาพูดคุย.... ไม่มีการรับใบสั่งทางการเมืองหรือทางทหารให้ย้าย พลตำรวจตรี ปวีณ...”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันเช่นนั้น
การอนุมัติใบลาออกของ พล.ต.ต.ปวีณ คงสร้างความโล่งอกโล่งใจให้ใครหลายคน และคิดว่าเรื่องคงจบลงแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า คนเมื่อถูกบีบให้จนตรอกหนทางสุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นสู้ แม้ว่าแนวทางการต่อสู้ของ พล.ต.ต.ปวีณ จะถูกมองว่าออกมาในลักษณะเหมือนกับเผาบ้านตัวเอง เพราะคำให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศของอดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์สร้างความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ ซึ่งจะว่าไปแล้วคำให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ต.ปวีณนั้นมีความจริงที่ผู้มีอำนาจยอมรับไม่ได้ และแน่นอนย่อมทำให้ท่านผู้นำมีน้ำโหอย่างยิ่ง ทั้งที่ถ้ามองย้อนศรขึ้นไปคำตอบก็เห็นๆ กันอยู่ว่าใครกัน ที่บีบบังคับให้ พล.ต.ต.ปวีณ เหลือทางเลือกเพียงสายเดียว
ฉายซ้ำกับคำให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอบีซีและเดอะการ์เดียน ของพล.ต.ต.ปวีน หลังเดินทางไปถึงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา พร้อมกับแผนขอลี้ภัย นายตำรวจหัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ย้ำว่า เขาเกรงชีวิตจะมีอันตรายเพราะผู้มีอิทธิพลทั้งในรัฐบาลไทย ในกองทัพและตำรวจ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และต้องการให้เขาตาย และตอนนี้การสืบสวนขบวนการค้ามนุษย์ ที่เพิ่งทำงานมา 5 เดือนซึ่งเขาเป็นหัวหน้าชุดก็ถูกยกเลิกไปแล้วทั้งที่มีงานให้อีกมากกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
เมื่อถูกนักข่าวถามว่าใครเป็นผู้สั่งให้หยุดการสืบสวน พล.ต.ต.ปวีณ ก็ตอบผ่านล่ามว่า ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งมีทั้งตำรวจเลว-ทหารเลวที่ทำเรื่องพวกนี้ มันช่างโชคร้ายที่ตำรวจเลว-ทหารเลวเหล่านี้คือกลุ่มคนที่มีอำนาจ....ค่ายกลางป่าเหล่านั้นจำเป็นต้องมีผู้ทรงอิทธิพลคอยดูแลถึงจะเปิดอยู่แบบนั้นได้
“คนที่สามารถกักขังผู้คนหลายร้อยได้โดยไม่ถูกจับกุมมาเป็นเวลาหลายปีขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดาได้หรอก” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว พร้อมระบุว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐอีกมากมายที่ควรจะถูกดำเนินคดี
“ขบวนการค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งในกองทัพ นักการเมืองและตำรวจ ตอนที่ผมดูแลคดีนี้มีคนคอยเตือนผมอยู่ตลอด....และการสับเปลี่ยนตำแหน่งของผมให้ลงไปอยู่ชายแดนภาคใต้มันหมายความว่าพวกนั้นต้องการฆ่าผม”พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
อดีตหัวหน้าชุดสืบสวนคดี ยังเกรงว่าการพิจารณาคดีที่กำลังจะมีขึ้นจะเกิดการประนีประนอม ซึ่งนั่นจะทำให้พวกผู้ต้องหาเหล่านั้นไม่ถูกตัดสินลงโทษ นอกจากนี้เขายังเป็นพยานรายสำคัญในการพิจารณาคดีและรู้ด้วยว่าพยานหลายรายถูกข่มขู่จนหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลหลักฐาน“ผมรู้สึกเศร้าใจและรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ที่คนพวกนั้นจะไม่ถูกลงโทษ”
กลุ่มคนที่มีอิทธิพลและถูกจับกุมในคดีค้ามนุษย์โรฮีนจากว่าร้อยคนนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 ตำรวจได้พบหลุมศพกว่า 30หลุมในค่ายที่ถูกทิ้งร้างกลางป่าใกล้ชายแดนมาเลเซีย ศพจำนวนมากที่ถูกขุดขึ้นมาเชื่อกันว่าเป็นมุสลิมโรฮีนจา ชนกลุ่มน้อยที่ใช้เรือหนีออกจากพม่าจนมาถึงไทยเพื่อจะไปต่อให้ถึงมาเลเซีย ขณะที่ศพบางส่วนเชื่อว่าเป็นผู้ลี้ภัยจากบังกลาเทศ พวกขบวนการค้ามนุษย์ได้กักขังคนเหล่านี้ไว้ในค่ายบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อเรียกค่าไถ่จากญาติแลกกับการปล่อยตัว ผู้รอดชีวิตบางรายบอกว่ามีหลายคนที่ถูกข่มขืน ถูกซ้อม รวมถึงถูกฆ่าหากไม่มีการจ่ายค่าไถ่
การแต่งตั้ง พล.ต.ต.ปวีณ ให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวอยู่ในช่วงที่ประเทศไทยถูกกดดันจากสหภาพยุโรปให้จัดการกับขบวนการค้ามนุษย์ไม่เช่นนั้นจะเจอมาตรการกีดกันทางการค้าตอบโต้ และทีมงานของ พล.ต.ต.ปวีณ สามารถเปิดโปงพวกตัวการสำคัญของขบวนการค้ามนุษย์จนหลายฝ่ายเชื่อกันว่ารัฐบาลไทยคงจะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง
มีแต่ พล.ต.ต.ปวีณ และทีมชุดสืบสวนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาถูกกดดันอย่างหนักตั้งแต่แรกเริ่มสืบสวนว่าอย่ากระตือรือร้นไล่ล่าหาตัวคนร้ายให้มันมากนัก กระนั้นจากหลักฐานจนถึงตอนนี้มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง 153 ราย เมื่อเดือนที่แล้วมีผู้ต้องหาไปขึ้นศาล 88 ราย ในจำนวนนั้นมีทั้งทหารระดับนายพลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการใหญ่ รวมถึงนายทหารอื่นๆ นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ ฯลฯ
“จำเลยทั้ง88 คนร่วมกันปล่อยให้เหยื่อหิวโหย ปฏิเสธที่จะให้การดูแลรักษาแก่ผู้เจ็บป่วย รวมถึงซ่อนศพของคนเหล่านั้นไว้ที่ค่ายบนภูเขา” รายงานของศาล ระบุ
อดีตนายตำรวจไทยผู้นี้เข้าใจดีถึงโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขา ใครบางคนที่พยายามจะช่วยเหลือบรรดาผู้ลี้ภัย กลับต้องมาลงเอยด้วยการเป็นผู้ขอลี้ภัยเสียเอง “ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยในตอนนั้น จนมาตอนนี้ผมถึงได้ตระหนักแล้วว่ามันอันตราย” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
หลังการทิ้งบอมบ์ของพล.ต.ต.ปวีณ ดูเหมือนจะมีคนบาดเจ็บสาหัสหลายราย พร้อมสวนกลับด้วยเสียงสบถ ยังมีความรักชาติ เหลืออยู่มั้ย! เป็นคนไทยหรือเปล่า?
นายตำรวจใหญ่ที่เดือดปุดๆ รีบหอบทีมงานตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้ทันที แน่นอนไม่ใช่ใครอื่นย่อมเป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ นั่นเอง เพราะงานนี้ดูคล้ายกับถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้ายังไงยังงั้น ท่าทีและน้ำเสียงจึงแสดงว่าขุ่นมัวเต็มที่ “การทำแบบนี้ถือว่าเป็นการทำร้ายประเทศหรือไม่ ที่ออกมาให้ข่าวในลักษณะว่า ตำรวจเลว ทหารเลว ซึ่งไม่ทราบว่าหมายถึงใคร จริงๆ อยากขอให้ระบุชื่อมา จะได้ฟ้องกันถูกตัว .....
“บางครั้งท่านปวีณก็พูดไม่หมด ถ้าพูดหมดสังคมคงไม่สับสน การแต่งตั้งโยกย้ายผมดูแลคนเดียว ก่อนแต่งตั้งมีการสอบถามไปยังผู้บัญชาการแต่ละภาคแล้วว่าใครจะปรับย้ายใคร ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ก็ชัดเจน ท่านไม่เอา พล.ต.ต.ปวีณ ถ้ายัดเยียดเขาไป ทุกอย่างก็พัง อยู่ไม่ได้”
“ตอนนั้น ผบช.ภาค 8 ย้าย 2 คน หนึ่งในนั้นมี พล.ต.ต.ปวีณ ผมต้องหาที่ให้อยู่ ในเมื่อผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดไม่รับ ก็เป็นอำนาจของท่าน แต่วันนี้ออกมาโวยวาย มีวินัยหรือเปล่า คนอื่นก็ทำคดีนี้ แต่ไม่เห็นมีใครโวยวาย ไม่มีใครถูกข่มขู่ จึงอยากให้ พล.ต.ต.ปวีณ ระบุชื่อมาเลยจะได้ดำเนินการ
“เรื่องโรฮีนจาจะใหญ่อะไรนักหนา อย่าเอาองค์กรมาขาย อย่าทำร้ายประเทศ เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ท่านจะคาดหวังหรือผิดหวังอะไรไม่รู้ ผมไม่เคยมีความขัดแย้งอะไรกับท่าน ถ้าสิ่งที่ พล.ต.ต.ปวีณ พูดมาไม่เป็นเรื่องจริง อาจจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้ ผมไม่ทราบพูดอย่างนี้เพราะอะไร” ผบ.ตร.ระบุ
“ขอย้ำว่าการแต่งตั้งโยกย้ายทำไปตามขั้นตอน ผมต้องไปถามกับทางผู้ บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ภาค 9 ว่าใครจะรับบ้าง ซึ่ง ผบช.ภ.8 เขายืนยันว่าเขาไม่เอาตำรวจที่ไม่มีวินัย ดังนั้น พล.ต.ต.ปวีณ ต้องมาขอบคุณผมด้วยซ้ำที่หา บ้านให้อยู่ จะมองว่าผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งไม่ได้ ต้องมาขอบคุณผมด้วยนะ ไม่ใช่มาตำหนิคนอื่นเขา ไม่เอา แต่ผมเป็นหัวหน้าหน่วยก็ต้องรับผิดชอบ ส่วนหลังจากนี้ในอนาคตหาก พล.ต.ต.ปวีณ จะกลับมาเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งก็จะต้องตอบคำถามของสังคมให้ได้ว่าที่พูดออกมาคืออะไร มีจุดประสงค์อะไร” ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังจากเกิดเรื่องปวีณทิ้งบอมบ์จากเมลเบิร์น ออสเตรเลีย
ถ้อยแถลงของ ผบ.ตร.มีหลายปมที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง นักหนังสือพิมพ์ใหญ่ “เปลว สีเงิน” เจ้าของคอลัมน์ คนปลายซอย ไทยโพสต์ ตั้งข้อสงสัยไว้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยเฉพาะปมใหญ่ “ไม่มีใครเอา พล.ต.ต.ปวีณเลย”แม้กระทั่งผู้บัญชาการตำรวจภาค ๘ “พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท” ซึ่งเป็นเจ้าสังกัดที่ พล.ต.ต.ปวีณเป็นรองฯ อยู่ ก็ยังไม่ยอมให้อยู่ด้วย!? ว่า“น่าข้องใจมาก ประชาสังคมอยากได้คำอธิบายที่เป็นรูปธรรมจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ หรือระดับสูงขึ้นไป “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ผู้รับมอบให้กำกับดูแลงานตำรวจ....ว่าที่ “ไม่เอา” พล.ต.ต.ปวีณ นั้น จะให้เข้าใจว่า...
ก.) พล.ต.ต.ปวีณ เป็น “แกะดำ” ผิดธรรมชาติตำรวจตัวเดียว ในฝูง “แกะขาว” ตามธรรมชาติทั้งสถาบันตำรวจ
หรือ.. ข.) พล.ต.ต.ปวีณ เป็น “แกะขาว” ผิดธรรมชาติตำรวจตัวเดียว ในฝูง “แกะดำ”ตามธรรมชาติทั้งสถาบันตำรวจ?
แท้จริงแล้ว พล.ต.ต.ปวีณ กับ สถาบันตำรวจวันนี้ ใคร-ฝ่ายไหนเป็น “แกะขาว-แกะดำ” กันแน่?
“และในประเด็น “ระดับรัฐบาล” เข้าไปล้วงลูกคดีโรฮีนจานั้น ในความเห็นผม ถ้าจะล้วง ก็ล้วงเป็นคุณ “ต้องทำคดีให้เต็มที่-ถึงที่สุด-ตรงไปตรงไป-ไม่ไว้หน้าใคร” !เหตุผล คือ ถ้าล้วงเป็นโทษ นายกฯ ประยุทธ์ก็ดี พลเอกประวิตรก็ดี ต้องเบรก พล.ต.ต.ปวีณ ไม่ให้สาวไปถึงขนาดจับระดับ “นายพลโท”
“ที่ พล.ต.ต.ปวีณทำงานได้เต็มที่ ออกหมายจับตามหลักฐานไม่เว้นหน้าอินทร์-หน้าพรหม แสดงว่ารัฐบาล “ไฟเขียว” หรือไม่ก็...สั่งการ "แบบไม่ผูกมัดตัวเอง"ให้ผู้ปฏิบัติเดาใจ-ทำกันไป มีอะไรแล้วค่อยมาว่ากันไปตามสถานการณ์!? คนที่จะยืนยันสมมุติฐานนี้ได้ดีที่สุด นอกจากตัว พล.ต.ต.ปวีณแล้ว ก็คือ... “พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์” รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้น และเป็น “ปลัดสำนักนายกฯ” ขณะนี้ ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทำคดีโรฮีนจาในครั้งนั้น และ พล.ต.ต.ปวีณ อยู่ในทีมสอบสวนชุดนี้!
“ถึงคราวเลือกคนขึ้นเป็น ผบ.ตร.เมื่อเดือนตุลา พลเอกประวิตร (วงษ์สุวรรณ) เลือกรอง ผบ.ตร. จากอันดับบ๊วย คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แทนที่จะเลือกอันดับ ๑ คือ พล.ต.อ.เอก...”
นั่นเป็นการตั้งข้อสังเกตที่มองเห็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่า “ระดับรัฐบาล” จัดการกับปัญหาค้ามนุษย์อย่างมีเงื่อนงำหรือไม่
และจะยิ่งน่าตกใจ น่าใคร่ครวญอย่างยิ่งก็คือ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๘ ที่ "ไม่เอาท่านปวีณ" นั้น เป็น “นักเรียนเตรียมทหาร รุ่น ๑๖” รุ่นเดียวกับ “พลโทมนัส คงแป้น” ที่ พล.ต.ต.ปวีณ ออกหมายจับเป็นผู้ต้องหาร่วมแก๊งค้ามนุษย์!
เปลว สีเงิน อ้าง"สำนักข่าวไทย" รายงานข่าวไว้เมื่อ 2 มิ.ย.2558 ว่า.... “พล.ท.มนัส คงแป้น เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 16 จปร.รุ่น 27เคยรับราชการเป็นผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 จังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงปี 2551-2552 ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 จังหวัดสงขลา ก่อนจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ถือเป็นนายทหารที่รับราชการอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เติบโตในตำแหน่งหลักสำคัญของหน่วยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4และยังเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่รัฐบาลเร่งปราบปราม.
ดูท่าขบวนการค้ามนุษย์ตัวเป้ง กลับวนเวียนเวียนวนในเครือข่ายบิ๊กสีเขียวและสีกากีอย่างที่พล.ต.ต.ปวีน ว่าไว้ และสีกากีอย่าง พล.ต.ต.ปวีน ที่เถรตรงจึงอยู่ยากเพราะเจอเสิร์ฟเมนูเด็ดต้มยำสหบาทาสามัคคีทุกทิศทาง กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แสดงหน้าม่านจะเป็นที่พึ่งของข้าราชการตงฉินก็ยังมีท่าทีคล้ายช่วยรุมซ้ำ
ดังจะเห็นได้จากท่าทีฉุนเฉียวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กล่าวถึงกรณี พล.ต.ต.ปวีณ ขอลี้ภัยที่ประเทศออสเตรเลียเพราะเกรงอันตรายจากขบวนการค้ามนุษย์ว่า “ทำไม ก็กลับมาสิ กลับมา มาบอก มาแจ้งความแล้วจะจับให้ ใครไปขู่ ขู่จริงหรือเปล่า แล้วทำไมต้องไปพูดอย่างนั้น จะผิดจะถูกผมไม่รู้แต่ต้องตรวจสอบก่อน”
แถมยังถามด้วยว่า “มีความรักชาติเหลือหรือไม่ ที่เกิดมาบนแผ่นดินนี้ ทำตัวเป็นคนบางประเภทไปได้ ตนไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับใครเลย ตำรวจก็กำลังตรวจสอบอยู่ เรียกตัวกลับมาสิ บอกมาเลยใครขู่ ตัวจะใหญ่แค่ไหนก็จะจับลงโทษให้หมด เพราะเป็นคนสั่งให้จับ แต่ถ้าสั่งให้จับแล้วใครคนนั้นต้องโตทันที ตนไม่ให้”
เป็นคำตอบที่คล้ายกับว่า พล.ต.ต.ปวีน ต้องการตำแหน่งและความก้าวหน้าในการทำคดีเป็นผลตอบแทนพอไม่ได้จึงไม่พอใจ เป็นคำตอบในลักษณะไปไหนมาสามวาสองศอก เบี่ยงเบนประเด็นปัดเรื่องไปให้พ้นตัว
ย้ำอีกครั้ง เบี่ยงเบนประเด็น ปัดสวะ หรือว่านี่อาจถือเป็น signature เอกลักษณ์ของเอกบุรุษพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ เป็นท่าทีของบรรดาบิ๊กทหารที่ออกมาคล้ายๆ กับกรณีความไม่ชอบพากลในโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มิผิดเพี้ยน ที่เพียรพยายามบอกกับสังคมว่าสร้างจากเงินบริจาคไม่ใช่เงินหลวง ไม่มีทุจริตหักหัวคิว ไม่ใช่โครงการของรัฐบาลเป็นโครงการของกองทัพบก ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ฯลฯ กระทั่งสุดท้ายก็ขว้างงูไม่พ้นคอถูกฉกกัดเอาชีวิตจะไม่รอดในเวลานี้