เดอะการ์เดียน - อดีตนายตำรวจไทย ผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา กำลังหาทางขอลี้ภัยการเมืองในออสเตรเลีย โดยระบุว่าเขาเกรงชีวิตจะมีอันตราย เพราะผู้มีอิทธิพลทั้งในรัฐบาลไทย ในกองทัพและตำรวจ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และต้องการให้เขาตาย
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้ไปถึงเมลเบิร์นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว ได้บอกกับสถานีโทรทัศน์เอบีซี และเดอะการ์เดียน ว่าเขามีแผนจะขอลี้ภัย
การที่อดีตนายตำรวจผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนที่มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งยังกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ ย่อมที่จะสร้างความอับอายให้แก่รัฐบาลไทย โดยบรรดากลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างพากันยืนกรานว่า ไทยนั้นปิดตาข้างหนึ่งมาตลอดในคดีค้ามนุษย์ แถมยังมีเจ้าหน้าที่รัฐมากมายเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ทาง คสช.ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้
พล.ต.ต.ปวีณระบุว่า เขาหวังให้ออสเตรเลียอนุมัติการขอลี้ภัยของเขา
“ผมทำงานในเรื่องการค้ามนุษย์เพื่อช่วยผู้คนที่กำลังย่ำแย่ ผมไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ตอนนี้กลายเป็นผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เสียเอง ผมเชื่อว่าต้องมีสักแห่งที่เป็นสถานที่ปลอดภัยให้กับผม ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ที่จะช่วยเหลือผม” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว
เมื่อเดือนพฤษภาคม ตำรวจไทยพบหลุมศพมากกว่า 30 หลุม ในค่ายที่ถูกทิ้งร้างกลางป่าใกล้ชายแดนมาเลเซีย ศพจำนวนมากที่ถูกขุดขึ้นมาเชื่อกันว่าเป็นมุสลิมโรฮีนจา ชนกลุ่มน้อยที่ใช้เรือหนีออกจากพม่าจนมาถึงไทย เพื่อจะไปต่อให้ถึงมาเลเซีย ขณะที่ศพบางส่วนเชื่อว่าเป็นผู้ลี้ภัยจากบังกลาเทศ
พวกขบวนการค้ามนุษย์ได้กักขังคนเหล่านี้ไว้ในค่ายบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อเรียกค่าไถ่จากญาติแลกกับการปล่อยตัว ผู้รอดชีวิตบางรายบอกว่ามีหลายคนที่ถูกข่มขืน ถูกซ้อม รวมถึงถูกฆ่าหากไม่มีการจ่ายค่าไถ่
พล.ต.ต.ปวีณได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนสำหรับเรื่องที่แสนโหดร้ายนี้ ซึ่งในตอนนั้นมีการตีความกันว่า ไทยกำลังจัดการกับเรื่องค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ทีมงานของ พล.ต.ต.ปวีณ สามารถเปิดโปงพวกตัวการสำคัญๆ ของขบวนการค้ามนุษย์ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็บอกว่าเขาถูกกดดันอย่างหนักตั้งแต่แรกเริ่มสืบสวน ว่าอย่ากระตือรือล้นไล่ล่าหาตัวคนร้ายให้มันมากนัก
อดีตนายตำรวจวัย 57 ปีผู้นี้บอกว่า จากหลักฐานจนถึงตอนนี้มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง 153 ราย เมื่อเดือนที่แล้วมีผู้ที่ต้องไปขึ้นศาล 88 ราย ในจำนวนนั้นมีทั้งทหารระดับนายพลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการใหญ่ รวมถึงนายทหารอื่นๆ นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ ฯลฯ
“จำเลยทั้ง 88 คนร่วมกันปล่อยให้เหยื่อหิวโหย ปฏิเสธที่จะให้การดูแลรักษาแก่ผู้เจ็บป่วย รวมถึงซ่อนศพของคนเหล่านั้นไว้ที่ค่ายบนภูเขา” รายงานของศาล ระบุ
พล.ต.ต.ปวีณ ผู้เป็นนายตำรวจอาชีพ ได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากที่เขาถูกบังคับให้โยกย้ายไปยังพื้นที่ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาบอกว่าพวกค้ามนุษย์ที่เขาไล่ล่าล้วนมีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แถมนายตำรวจใหญ่ในพื้นที่นั้นก็เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ด้วย เขาบอกแก่ผู้บังคับบัญชาว่าเกรงชีวิตจะไม่ปลอดภัยหากถูกส่งไปที่นั่น แต่คำทักท้วงของเขาถูกเพิกเฉย
เช่นเดียวกับการสืบสวนที่เขาเป็นผู้นำก็ถูกยกเลิกไปแล้วหลังจากทำงานมาแค่ 5 เดือน แม้ว่าทาง พล.ต.ต.ปวีณ จะยืนกรานว่ามันยังมีงานให้ทำอีกเยอะกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
เมื่อถูกนักข่าวถามว่าใครเป็นผู้สั่งให้หยุดการสืบสวน พล.ต.ต.ปวีณ ก็ตอบผ่านล่ามว่า ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งมีทั้งตำรวจเลว-ทหารเลวที่ทำเรื่องพวกนี้ มันช่างโชคร้ายที่ตำรวจเลว-ทหารเลวเหล่านี้คือกลุ่มคนที่มีอำนาจ
พล.ต.ต.ปวีณ ไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้าหน้าที่อาวุโสเหล่านั้น ที่เขากล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ในเมืองไทย แต่เขาก็บอกว่า ค่ายกลางป่าเหล่านั้นจำเป็นต้องมีผู้ทรงอิทธิพลคอยดูแลถึงจะเปิดอยู่แบบนั้นได้
“คนที่สามารถกักขังผู้คนหลายร้อยได้โดยไม่ถูกจับกุมมาเป็นเวลาหลายปีขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดาได้หรอก” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว พร้อมระบุว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐอีกมากมายที่ควรจะถูกดำเนินคดี ในจำนวนนั้นมีกระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง
“ขบวนการค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งในกองทัพ นักการเมืองและตำรวจ ตอนที่ผมดูแลคดีนี้มีคนคอยเตือนผมอยู่ตลอด” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว
อดีตนายตำรวจไทยยังได้กล่าวโทษ “ผู้มีอิทธิพล” ที่ทำให้เกิดการโยกย้ายของเขา โดยบอกว่า “การสับเปลี่ยนตำแหน่งของผมให้ลงไปอยู่ชายแดนภาคใต้มันหมายความว่าพวกนั้นต้องการฆ่าผม”
พล.ต.ต.ปวีณเกรงว่าการพิจารณาคดีที่กำลังจะมีขึ้นจะเกิดการประนีประนอม ซึ่งนั่นจะทำให้พวกผู้ต้องหาเหล่านั้นไม่ถูกตัดสินลงโทษ นอกจากนี้เขายังเป็นพยานรายสำคัญในการพิจารณาคดีและรู้ด้วยว่าพยานหลายรายถูกข่มขู่จนหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลหลักฐาน
“ผมรู้สึกเศร้าใจและรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ที่คนพวกนั้นจะไม่ถูกลงโทษ” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว
คำขอลี้ภัยของ พล.ต.ต.ปวีณในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีผลกระทบในระดับสากล โดยก่อนหน้านี้ไทยไม่พอใจที่ถูกสหรัฐฯ ลดระดับลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุด ในรายงานที่ประเมินเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะต่อสู้กับการค้ามนุษย์
ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการประจำภาคพื้นเอเชียของฮิวแมน ไรต์วอตช์ได้บอกกับเดอะการ์เดียนว่า พล.ต.ต.ปวีณ เป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนที่เปี่ยมประสบการณ์ ซื่อตรงและไม่เคยเหลวไหล
“เห็นได้ชัดว่าในครั้งนี้ การสืบสวนของเขานั้นล้วงลึกเข้าไปใกล้ผู้ทรงอำนาจจนเกินไป มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยถ้าจะบอกว่า นี่เป็นบททดสอบถึงพันธกรณีที่ผู้นำไทยจะกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์” ฟิล โรเบิร์ตสันกล่าว
ขณะกำลังนั่งอยู่ริมแม่น้ำยาร์ราในเมลเบิร์น พล.ต.ต.ปวีณได้บอกว่า เขาไม่รู้รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อการที่เขาขอลี้ภัยในออสเตรเลีย เขาพูดอย่างแผ่วเบาและแสดงอารมณ์ความรู้สึกเพียงเล็กน้อย โดยบอกว่า เศร้าใจมากที่ถูกบีบให้ต้องจากบ้านและไม่สามารถทำงานของเขาต่อได้
อดีตนายตำรวจไทยผู้นี้เข้าใจดีถึงโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขา ใครบางคนที่พยายามจะช่วยเหลือบรรดาผู้ลี้ภัย กลับต้องมาลงเอยด้วยการเป็นผู้ขอลี้ภัยเสียเอง มันเป็นงานยากลำบากที่ต้องไล่ล่าหาตัวผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ แต่เขาก็ย้ำว่าต้องทำตามหน้าที่
“ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยในตอนนั้น จนมาตอนนี้ผมถึงได้ตระหนักแล้วว่ามันอันตราย” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว