xs
xsm
sm
md
lg

ภาวะผู้นำแห่งความเสื่อม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

โดยทั่วไปวิกฤตและความล่มสลายขององค์การ สถาบันทางสังคม และประเทศมีหลายสาเหตุซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน แต่แทบทุกองค์การและสังคมที่ประสบความตกต่ำและล้มเหลวจนนำไปสู่วิกฤตมักจะมีสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งร่วมกันคือ การมีผู้บริหารองค์การหรือประเทศใช้ภาวะผู้นำแห่งความเสื่อมเป็นแนวทางหลักในการบริหาร

ลักษณะภาวะผู้นำแห่งความเสื่อมคือ การไร้วิสัยทัศน์ ไร้ศักยภาพในการสร้างแรงดลใจ ไร้ความสามารถในการตัดสินใจและขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ และไร้คุณธรรม หากองค์การใดหรือประเทศใดมีผู้นำแห่งความเสื่อมดำรงอยู่ย่อมยากที่สร้างความก้าวหน้าและความรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่จะปรากฏตามมาคือความถดถอยและความตกต่ำ

วิสัยทัศน์เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าในการสร้างสรรค์สภาวะใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้แก่องค์การหรือประเทศ ในทางการเมืองเราอาจเรียกว่า การมีเจตจำนงทางการเมืองอันเด็ดเดี่ยวเพื่อสร้างประเทศให้ดีกว่าเดิม ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จึงกำหนดเป้าประสงค์หรือรูปลักษณ์ที่พึงประสงค์ในอนาคตขององค์การหรือประเทศขึ้นมาอย่างชัดเจน

ส่วนผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์เป็นผู้ที่ไม่ตระหนักรู้ว่าความปรารถนาของตนเองในการสร้างสรรค์ประเทศหรือองค์การคืออะไร เรียกว่าจิตสำนึกของเขายังมืดมัวหรือลางเลือน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเองมีความปรารถนาจะทำให้ประเทศหรือองค์การดีขึ้นหรือไม่ ผู้นำบางคนอาจจะมีความปรารถนาอยากให้ประเทศดีขึ้น แต่ก็เป็นเพียงความปรารถนาที่เลื่อนลอย อ่อนล้า และไร้พลัง ขณะที่บางคนอาจไม่มีพลังทางปัญญาเพียงพอที่จะสร้างรูปลักษณ์ของวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนและดึงดูดผู้คนให้ยอมรับได้

ผู้นำแห่งความเสื่อมนอกจากจะไร้วิสัยทัศน์แล้ว ยังไม่มีศักยภาพในการสร้างแรงดลใจแก่สมาชิกในองค์การหรือประชาชนให้รวมพลังปัญญา ร่วมแรง และร่วมใจ เพื่อทุ่มเทการปฏิบัติงานให้บรรลุความสำเร็จได้ สิ่งที่พวกเขาทำคือกดทับการแสดงออกทางปัญญาของผู้คน ใช้อารมณ์ด้านลบนำความคิดเชิงเหตุผล เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลชมชอบแสดงวาจาโอหัง นิยมตำหนิติเตียนผู้คน ไม่ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น สิ่งที่ผู้นำแห่งความเสื่อมกระทำจึงเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ยิ่งนานวันเข้าผู้คนก็ยิ่งถอยห่างและปลีกตัวออกไป

ในการนำพาองค์การ การตัดสินใจที่ไร้เหตุผลมุ่งประโยชน์เฉพาะหน้าเพื่อตนเองและพวกพ้องมากกว่าองค์การ การปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจความเป็นไปขององค์การ โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่คิดและหาวิธีการแก้ปัญหา ตรงกันข้ามกลับพยายามกลบเกลื่อนปัญหาและยืดเวลาการตัดสินใจออกไป

ยิ่งกว่านั้นในการตัดสินใจ ผู้นำแห่งความเสื่อมมีท่วงทำนองการตัดสินใจแบบสองขั้วที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงระหว่างขั้วถ่วงรั้ง กับ เร่งรัดแบบสุ่มเสี่ยง กรณีการตัดสินใจแบบถ่วงรั้ง เขาจะทำให้การตัดสินใจบางเรื่องล่าช้าหรือขยายเวลาการตัดสินใจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หากมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในองค์การหรือประเทศ เขาจะใช้วิธีการกลบปัญหาก่อน หากไม่อาจกลบเกลื่อนได้เขาก็จะเลื่อนหรือประวิงเวลาการตัดสินใจออกไปให้ยาวนานที่สุด และอาจผลักความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นตัดสินใจแทนโดยการตั้งเป็นคณะกรรมการบ้างหรืออนุกรรมการบ้าง และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจเขาจะตัดสินใจเลือกข้อเสนอของกลุ่มที่ทรงอำนาจมากที่สุด หรือไม่ก็เลือกทางที่เขาคิดว่าจะสร้างผลกระทบทางลบแก่เขาน้อยที่สุด โดยมิได้อยู่บนฐานของผลประโยชน์โดยรวมขององค์การหรือประเทศแต่อย่างใด

ส่วนอีกขั้วหนึ่งที่เป็นการตัดสินใจที่เร่งรัดแบบสุ่มเสี่ยง จะเกิดขึ้นในกรณีที่เมื่อผู้นำแห่งความเสื่อมประเมินว่า เรื่องใดที่อาจสร้างความเสียหายแก่เขาหรือทำให้เขาได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน เขาก็รีบรวบรัดตัดสินใจเพื่อให้เรื่องราวจบลงโดยเร็ว โดยไม่ใส่ใจต่อความคิดและความรู้สึกของผู้คนในองค์การหรือประเทศ แต่นั่นแหละผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่เร่งรัดแบบสุ่มเสี่ยงนี้ ก็มักจะเกิดผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนาแก่ผู้ตัดสินใจได้เช่นกัน

ในบางกรณีองค์การหรือประเทศอาจมีการกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจมาจากการกำหนดของฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์การหรือประเทศ แต่ผู้นำแห่งความเสื่อมมิได้ซึบซับรับรู้หรือให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด เพราะตัวเขาเองไม่มีวิสัยทัศน์และไม่มีการตัดสินใจที่ดี ผู้นำแห่งความเสื่อมจึงไร้สมรรถนะในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์อย่างสิ้นเชิง

แต่เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเขายังสนใจกับยุทธศาสตร์อยู่บ้าง ผู้นำแห่งความเสื่อมจึงแต่งตั้งกลุ่มคนจำนวนหนึ่งขึ้นมาเสมือนว่าจะเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ แต่ทว่ากลุ่มบุคคลที่เขาแต่งตั้งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนใกล้ชิดที่มีบุคลิกและวิธีคิดแบบเดียวกับเขา อีกทั้งยังไร้วิสัยทัศน์ และไม่มีวิธีคิดเชิงยุทธศาสตร์เฉกเช่นเดียวกับเขา การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จึงเป็นไปอย่างไร้ระบบ ไร้ทิศทาง ไร้พลัง อย่างดีก็เป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่การบริหาร อย่างร้ายคือการเร่งความเสื่อมให้เกิดขึ้นกับองค์การและประเทศให้เร็วขึ้น

ผู้นำแห่งความเสื่อมมิได้ยึดถือคุณธรรมเป็นบรรทัดฐานในการบริหารองค์การและประเทศ บางคนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่แยแสกับคุณธรรมหรือความถูกต้องใดๆ ขณะที่บางคนอาจปกปิดซ่อนเร้นสวมหน้ากากเสแสร้งเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่เบื้องหลังหาได้แตกต่างจากพวกแรกแต่อย่างใด ดีไม่ดี อาจร้ายกาจยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป

ความไร้คุณธรรมของผู้นำแห่งความเสื่อมแสดงออกให้เห็นโดยการกระทำของพวกเขาเอง บางคนก็ประกาศต่อสาธารณะอย่างชัดเจนว่าจะเลือกปฏิบัติต่อคนสองกลุ่ม กลุ่มที่สนับสนุนเขาและเขาได้ประโยชน์จากการสนับสนุนนั้น ผู้นำแห่งความเสื่อมจะให้การช่วยเหลือเกื้อกูลและปกป้องอย่างเต็มที่ โดยนำเอาทรัพยากรขององค์การหรือประเทศไปปรนเปรออย่างล้นเหลือ และบางกรณียังสั่งการให้ผู้สนับสนุนเขาประกอบอาชญากรรมทำร้ายกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนเขาได้อย่างอิสระ ราวกับกฎหมายเป็นกระดาษชำระ และกระบวนการยุติธรรมเป็นซากปรักหักพัง

ผู้นำแห่งความเสื่อมมิได้เห็นกฎหมายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงละเมิดกฎหมายเป็นว่าเล่น หากไม่พอใจใครหรือกลุ่มใด ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผู้นำแห่งความเสื่อมก็นิยมใช้ความรุนแรงแบบกำปั้นเหล็กฝังหนามเข้าไปจัดการ ในยุคที่ผู้นำแห่งความเสื่อมครองอำนาจใครที่ถูกมองว่าเป็นปรปักษ์หรือใครที่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า จึงต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายอยู่เสมอ บางคนถูกทำร้ายเสียชีวิต บางคนถูกจับขังคุก เรียกได้ว่าสำนึกแห่งคุณธรรมมิได้มีพื้นที่ในจิตใจของผู้นำแห่งความเสื่อมแต่อย่างใด ถ้าหากเปรียบเทียบกับนิยายสามก๊ก ภาพของผู้นำแห่งความเสื่อมที่ไร้มิติคุณธรรมที่ชัดเจนคือ โจโฉ นั่นเอง

สำหรับผู้นำแห่งความเสื่อมบางคนสวมหน้ากากคุณธรรมบังหน้า แต่เบื้องหลังและพื้นฐานของจิตใจก็มิแตกต่างจากพวกที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าไม่แยแสกับคุณธรรมแต่อย่างใด พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จึงอาจน่ากลัวกว่ากลุ่มแรก เพราะวาจาของพวกเขามักเอ่ยอ้างคุณธรรมมาพร่ำสอนผู้คน หลอกให้ผู้คนคิดว่าเขามีคุณธรรม แต่ในทางลับกลับกระทำตรงข้ามกับสิ่งที่พูดต่อสาธารณะ

บางคนพร่ำสอนให้ผู้คนซื่อสัตย์ พร่ำตำหนิการทุจริต พร่ำถึงธรรมาภิบาล พร่ำ ถึงการเชิดชูสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ แต่สิ่งที่พวกเขาทำลับหลังผู้คนคือการหลอกลวง ตีสองหน้า มือถือสาก ปากถือศีล เสแสร้งเป็นซื่อสัตย์ แต่พอมีเรื่องการทุจริตของลูกน้องพวกพ้องที่ใกล้ตัวรั่วไหลออกมาสู่สาธารณะก็รีบเข้าไปปกป้อง และหยิบยกสิ่งที่เรียกว่าความดีของตนเองที่มีต่อองค์การขึ้นมาอ้าง ซ้ำยังลำเลิกบุญคุณจากประชาชนเสียอีก

ผู้นำแห่งความเสื่อมที่สวมหน้ากากคุณธรรมมิได้สนใจใยดีกับความเน่าเฟะในกลุ่มพวกพ้องของตนเอง หากแต่มุ่งทำให้ความเน่าเหม็นของฝ่ายตรงข้ามกระจายออกไปให้กว้างไกลและเข้มข้นมากที่สุด เพื่อนำมาปกปิดความเน่าของกลุ่มตัวเองนั่นเอง เราเห็นผู้นำแบบนี้ได้ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ภายในประเทศคงจินตาการได้ไม่ยากว่ามีใครบ้างที่มีลักษณะเช่นนี้ ส่วนภายนอกประเทศตัวอย่างที่ดีคือพวกเหล่าผู้นำของสหรัฐอเมริกาที่พร่ำสอนเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ตนเองกลับละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงโดยการผลิตอาวุธร้ายแรงเพื่อทำลายมนุษยชาติ

ส่วนสังคมไทยในยามนี้มีภาวะผู้นำแห่งความเสื่อมหรือไม่ มากน้อยเพียงใด อยู่ในองค์การใดบ้างลองพิจารณากันดูนะครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น