ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ประเด็นการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของกองทัพบก นับเป็นกรณีการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ดูว่าจะมีมูลมากที่สุด และส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศ
การตรวจสอบโครงการนี้อย่างตรงไปตรงมาจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ให้การใช้งบประมาณแผ่นดินหรือแม้แต่เงินบริจาคเกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการนี้อย่างเต็มที่ และนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏว่ามีฝ่ายที่จ้องจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ฉวยโอกาสนำประเด็นนี้ไปขยายผลทันที โดยเฉพาะฝ่ายเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ได้โอกาสจะเอาคืนรัฐบาล คสช.หลังจากถูกไล่บี้กรณีทุจริตหลายๆ เรื่องตลอดช่วง 1 ปีกว่าที่่ผ่านมา ทั้งในนามพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายคนเสื้อแดง
หลังจากที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ถึงผลการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ในเบื้องต้นพบว่า ไม่มีการทุจริต แต่ก็ยังสร้างความแคลงใจให้คนจำนวนมาก แกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ได้ประกาศนัดแนะให้มวลชนในเครือข่ายทราบว่า วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน จะชวนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เดินทางไปยังอุทยานราชภักดิ์ โดยอ้างว่าจะไปเพื่อหาข้อมูลการทุจริตในโครงการนี้ที่ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย และเป็นการทำหน้าที่ในฐานะคนไทยที่จะไม่ยินยอมให้โครงการมหามงคลของแผ่นดินต้องแปดเปื้อนมลทินการทุจริต การไปครั้งนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวมวลชนใดๆ เมื่อไปสังเกตการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยก็จะกลับทันที หวังว่ารัฐบาลจะไม่ขัดขวางหรือใช้อำนาจใด ๆ ปิดกั้นการเดินทางไปในครั้งนี้
สำนวน “อ้าปากเห็นลิ้นไก่” น่าจะใช้ได้กับกรณีการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงในครั้งนี้ เพราะถึงแม้จะอ้างว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ใจในการไปตรวจสอบการทุจริต แต่การออกข่าวตีปี๊บล่วงหน้าหลายวัน ยิ่งเมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง นายณัฐวุฒิก็ประโคมข่าวว่าตนเองถูกทหารคุกคามด้วยการนำรถพร้อมกำลังทหารไปจอดหน้าบ้านพักในหมู่บ้านเศรษฐศิริ ย่านนนทบุรี แล้วตีโพยตีพายว่าทหารต้องการขัดขวางไม่ให้ตนเองเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ ก็ยิ่งทำให้ถูกมองว่า เป็นการจงใจที่จะทำให้เป็นประเด็นการเมืองอย่างแน่นอน
เมื่อถึงวันเดินทางจริงๆ ทั้งนายณัฐวุฒิและนายจตุพรก็สามารถเดินทางออกจากบ้านไปได้แบบไม่มีปัญหาอะไร แต่แทนที่ทั้งสองหัวโจกเสื้อแดงจะเดินทางไปที่อุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยตรง กลับไปแวะที่ชุมชนมหาชัยเมืองใหม่ ถนนพระราม 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร ในตอนสายของวันนั้น โดยอ้างว่าเป็นการแวะพักและนัดหมายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
จังหวะนั้นเอง นายณัฐวุฒิและนายจตุพรจึงถูกทหารจากกองกำลังรักษาความสงบ ของมณฑลทหารบกที่ 16 ราชบุรี ควบคุมตัวขึ้นรถตู้สีขาว ทะเบียนกงจักร มุ่งหน้าไปทาง จ.ราชบุรี เพื่อทำข้อตกลงที่กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี โดยเป็นเรื่องที่เคยตกลงกันก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ก่อนที่จะส่งตัวกลับบ้านพักในช่วงกลางคืนวันเดียวกัน
พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ที่ผ่านมา ได้เรียกแกนนนำ นปช.มาปรับทัศนคติหลายครั้งแล้วปล่อยตัวกลับไป แต่ครั้งนี้ต้องทำบันทึกความเข้าใจด้วย ก่อนที่จะปล่อยตัวในค่ำวันเดียวกัน มิเช่นนั้นอาจจะถูกอ้างว่าถูกทหารทำร้ายร่างกายได้
ในช่วงที่สองแกนนำ นปช.ถูกควบคุมตัวอยู่นั้น กลไกแขนขาของระบบทักษิณได้ออกมาเคลื่อนไหวรับลูกในทันที
นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำเสื้อแดงอีกคน รีบออกมาให้ข่าวว่า การที่ทหารควบคุมตัวนายจตุพร และนายณัฐวุฒิ ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าวและประชาชนจำนวนมาก เป็นการใช้อำนาจเผด็จการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างชัดเจนโดยไม่สนใจสายตาและความรู้สึกของคนไทยและนานาชาติ เป็นการขัดขวางการตรวจสอบการทุจริต จึงเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงทั้งสองโดยเร็ว พร้อมกับพูดในทำนองปากว่าตาขยิบว่าขอให้พี่น้องคนเสื้อแดงอยู่ในความสงบไม่ต้องเคลื่อนไหว
ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกว่า เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ในการเดินทางไปตามที่ต่างๆ โดยสุจริต และเสมือนเป็นการขัดขวางการเรียกร้อง และการแสวงหาความเป็นจริงในเรื่องข้อกล่าวหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในโครงการดังกล่าว จึงเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช.ทั้งสองในทันที
กรณีนี้ ต้องถือว่ารัฐบาลแก้เกมได้เร็ว โดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.ชี้แจงอย่างทันควัน ว่าแกนนำ นปช.ทั้งสองคนพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจน พฤติกรรมเริ่มจากการป่าวประกาศ เชิงชี้นำ ในทำนองปลุกปั่นให้เกิดความไม่เรียบร้อยได้ เจ้าหน้าที่คงใช้ดุลพินิจจากพฤติกรรมจากหลายวาระ รวมทั้งการกล่าวต่อสาธารณะ และใช้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาตลอด การเคลื่อนไหวของนายณัฐวุฒิ ในลักษณะนี้ไม่น่าเกิดประโยชน์ต่อกระบวนการไขความกระจ่าง
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ย้ำว่า ไม่ได้ห้ามไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์ แต่อย่าไปทำเรื่องสร้างประเด็น ไปเรียกแขกเราไม่ต้องการ หากต้องการจะเดินทางไปกราบไหว้ก็จะพาไปเอง แต่ไม่ต้องการให้ไปเป็นประเด็นการเมือง และความจริงจะเอาผิดแกนนำ นปช.ทั้งสองคนก็ได้ โดยใช้มาตรา 116 ว่าด้วยการยุยงปลุกปั่น ข้อหาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่ไม่ทำ หรือจะถอนประกันก็ได้เนื่องจากทั้งสองคนยังมีคดีติดตัว แต่ไม่ทำ
การรีบชี้แจงแบบสวนกลับทันทีว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเป็นเรื่องทางการเมือง และปล่อยตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพร หลังจากถูกควบคุมตัวไม่ทันข้ามวัน ทำให้แผนการใช้ปมปัญหาในโครงการอุทยานราชภักดิ์มาบ่อนเซาะความน่าเชื่อถือของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.ต้องสะดุดกึกลงทันที
วันที่ 30 พ.ย.หลังจากสองเกลอถูกควบคุมตัวที่มหาชัยแล้ว สองสามีภรรยาแกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นพ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ ได้นัดแนะกันที่จะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงเช้าวันที่ 1 ธันวาคม เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพรโดยเร็ว แต่เมื่อทั้งสองถูกปล่อยตัวมาก่อน แผนการนี้เลยถูกยกเลิกไป
และเปลี่ยนเกมใหม่ โดยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นายณัฐวุฒิออกมาโวยวายว่าถูกทหารคุกคามด้วยการนำรถพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่มาติดตามสอดแนมถ่ายรูปลูกเมีย หลังจากนั้นในวันที่ 3 ธันวาคม นางธิดา นพ.เหวง และ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ พร้อมแกนนำคนเสื้อแดงอีก 3-4 คน ได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ เรียกร้องขอให้ยุติการคุกคามและละเมิดสิทธิของประชาชน
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น ได้เตรียมแถลงการณ์กรณีอุทยานราชภักดิ์ ฉบับที่ 5 ที่จะออกในวันที่ 1 ธันวาคม เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพร แต่เมื่อทั้งสองคนถูกปล่อยตัวเสียก่อน แถลงการณ์ที่ออกมา จึงยกเอากรณีการควบคุมตัวสองหัวโจก นปช.ว่าเป็น หนึ่งในหลายกรณีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยรัฐบาลชุดนี้ พร้อมกับแก้เกี้ยวว่า การไปตรวจสอบโครงการราชภักดิ์ของทั้งสอง ไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งก็เป็นข้ออ้างที่ดูจะมีน้ำหนักน้อย เพราะในยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนั้น เต็มไปด้วยการทุจริตที่สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลกว่ากรณีอุทยานราชภักดิ์อย่างเทียบกันไม่ได้