วานนี้ (2ธ.ค.) ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.คลัง เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด , นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.50 นายสนธิ หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่า โจทก์ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า ปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัวขัดต่อกฎหมาย และโจทก์ช่วยเหลือ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก และปกป้องผู้กระทำผิด กรณีที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้นชิน บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี รวมทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธนาคารกสิกรไทยฯด้วย จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ก.ย.52 ว่าจำเลยที่ 1,2,4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนชั่ว มีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ จำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 2 นายสนธิ เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ให้ปรับ 200,000 บาท และ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ4 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 4 พ.ย.56 ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 2ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากเป็นการพูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะ และผลประโยชน์ของส่วนรวม
ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปีนั้น เห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษในสถานเบา และแก้โทษให้เหมาะสม เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้จำเลยเป็นสื่อมวลชน ซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้ จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เห็นว่า ร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ขณะที่จำเลยที่ 4 นั้นเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี จำเลยยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า การจัดรายการของจำเลยที่ 2 อาจเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อมวลชนวิจารณ์โจทก์ ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ แม้มีข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์อยู่บ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทย์มาก่อน
ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท รอลงอาญา 2 ปี นั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน แต่แก้คำพิพากษาที่ให้จำเลยร่วมกันพิมพ์คำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยจำเลยต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย ส่วนนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำเลยที่ 4 พ้นผิดตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.50 นายสนธิ หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่า โจทก์ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า ปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัวขัดต่อกฎหมาย และโจทก์ช่วยเหลือ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก และปกป้องผู้กระทำผิด กรณีที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้นชิน บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี รวมทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธนาคารกสิกรไทยฯด้วย จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ก.ย.52 ว่าจำเลยที่ 1,2,4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนชั่ว มีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ จำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 2 นายสนธิ เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ให้ปรับ 200,000 บาท และ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ4 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 4 พ.ย.56 ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 2ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากเป็นการพูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะ และผลประโยชน์ของส่วนรวม
ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปีนั้น เห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษในสถานเบา และแก้โทษให้เหมาะสม เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้จำเลยเป็นสื่อมวลชน ซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้ จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เห็นว่า ร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ขณะที่จำเลยที่ 4 นั้นเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี จำเลยยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า การจัดรายการของจำเลยที่ 2 อาจเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อมวลชนวิจารณ์โจทก์ ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ แม้มีข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์อยู่บ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทย์มาก่อน
ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท รอลงอาญา 2 ปี นั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน แต่แก้คำพิพากษาที่ให้จำเลยร่วมกันพิมพ์คำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยจำเลยต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย ส่วนนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำเลยที่ 4 พ้นผิดตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550