เมื่อเวลา 9.30 น. วานนี้ (19 พ.ย.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ได้จัดสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มเฉพาะ ต่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีกลุ่มตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วม 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มปฏิรูปด้านการศึกษา กลุ่มการค้าเสรี กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภค กลุ่มสิทธิสตรี กลุ่มสื่อสารมวลชน และสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กลุ่มทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายมีชัย กล่าวเปิดการสัมมนาว่า กรธ. ทั้ง 21 คน เข้ามาทำงาน โดยมีแค่กระดาษเปล่าปึกหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโผ ไม่มีพิมพ์เขียว มีแค่กรอบคร่าวๆ 5 ด้าน และร่างรธน.ต้องสั้น กระทัดรัด ไม่ต้องมีรายละเอียดมาก เพราะหากใส่ตามความเห็นของผู้เสนอทั่วประเทศ ก็จะทำให้รธน.หนามาก ดังนั้น กรธ.ต้องคิดว่าจะใส่อะไรลงไปจึงจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงกลไกการปฏิรูป และ ตรวจสอบ
" ขณะนี้มีเสียงวิจารณ์ว่า ทำไมประเทศไทยต้องมาคิดของใหม่ ไม่เลียนแบบกติกาของต่างชาติ กรธ.ก็ชี้แจงได้ว่า ปัญหาของประเทศไทยไม่เหมือนที่ใดในโลก อย่างเช่นไม่มีประเทศไหนที่บอกว่า ไม่ให้งบประมาณ หากไม่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ดังนั้นการออกแบบกติกา จึงต้องไม่เหมือนใครในโลก"
นายมีชัย ยอมรับว่า ด้วยสิติปัญญาของกรธ. 21 คน บางครั้งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ทุกเรื่อง และหลายเรื่องก็ยังคิดไม่ออก จึงต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาจุดประการต่อยอด และแก้ปัญหา แม้จะไม่นำไปใช้ทั้งหมด แต่ก็จะนำไปสกัดเพื่อให้มีอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่สติปัญญาของ กรธ. จะสามารถทำได้ เช่น ในตอนนี้สิ่งที่พบ และต้องการปฏิรูป แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คือ
1. เรื่องการศึกษาโดยเฉพาะการปลูกฝังวินัย เพราะหากขาดเรื่องดังกล่าวนี้ ก็จะนำมาซึ่งปัญหาทุกๆ ด้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่กรธ.คิดไม่ออก และต้องการฟังความเห็น 2. การปฏิรูปกลไกตำรวจ และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่ต้องใช้กฎหมายเอาใจนาย ใคร หรือผู้มีอิทธิพล มิเช่นนั้น บ้านเมืองก็ไม่สงบ และหากไม่ทำ 2 เรื่องนี้ ประเทศชาติก็เดินหน้าไม่ได้
" มีเรื่องตลกร้ายก็คือว่าคนไทยไหว้ทุกอย่าง ผมก็บอกว่าคนไทยไหว้ทุกอย่าง เพราะเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ เว้นแต่กฎหมาย คนไทยยิ่งกฎหมายมากเท่าไร หากคนไม่เชื่อ ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่จะเปรียบเป็นโซ่ตรวนเท่านั้น"
ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่า กรธ.ไม่ฝักไฝ่ในพรรคการเมืองใด มองแค่ว่ากลไกที่กรธ.วางไว้จะเอื้อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง หรือไม่ ถ้าประชาชนจะเลือกใคร กรธ.ก็คงไม่ไปเกี่ยวข้องแล้ว และหากใครจะแสดงความเห็นในเรื่องกระบวนการเข้าสู่การเมือง ก็ขอร้องให้ถอดพรรคการเมืองเอาไว้ที่บ้าน และมาตัวเปล่า แสดงความเห็นพร้อมเสนอแนะในสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และประเทศชาติ
นายมีชัย ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึง ข้อเสนอของ คสช. 10 ข้อ เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ ว่าก็ไม่ถือว่าพิเศษไปกว่าของคนอื่นที่เสนอมา โดยอนุกรรมการรับฟังความเห็น จะรวบรวมมานำเสนอต่อกรรมการอีกครั้ง อย่างเช่น กรณีภาวะวิกฤต ที่ถึงทางตันควรหาทางออกอย่างไร หากสามารถหาทางออกได้ในรัฐธรรมนูญโดยกลไกปกติที่มีอยู่ก็ควรทำ ส่วนเรื่องที่จะสร้างองค์กรใหม่ ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีหรือไม่ ถือเป็นเพียงข้อเสนอหนึ่ง
"ที่ผ่านมาจะมีปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ จนมีการเสนอไปถึง มาตรา 7 จึงคิดว่าจะหาหนทางไว้ว่า เมื่อเวลาเกิดทางตันจะทำอย่างไร โดยหลักคิด ยังไม่คิดถึงองค์กรใหม่ คิดแต่ว่ากลไกปกติ จะผูกโยงอย่างไรให้แก้วิกฤตได้ เพราะที่ผ่านมาเข้าใจ มาตรา 7 ผิด เนื่องจากเนื้อหาระบุเพียงว่าถ้ารัฐธรรมนูญไม่มีให้วินิจฉัยตามประเพณีการปกครอง การร่างรธน.ปี 40 และ 50 เขียนไว้ยาวเกิน ประเพณีการปกครองแล้วจึงไม่มีทางนำมาตรา 7 มาใช้ได้ แต่เวลาสิ้นไร้ไม้ตอกคนก็ไปนึกว่าจะใช้มาตรา 7 ตั้งนายกฯใหม่ ซึ่งกำลังทำความเข้าใจใหม่ว่า มาตรา7 ไม่เป็นเช่นนั้น แต่จะดูว่าเอาเนื้อหาใดมาใช้ประโยชน์ได้ถ้าใช้จะเขียนให้ชัดเจน ว่าจะใช้อย่างไร"
นายมีชัย ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่คิดสร้างอำนาจใหม่ เพื่อครอบอำนาจเดิม ส่วนที่คสช. เสนอให้มีการกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดทางตันนั้น คสช.คงมองเห็นว่า ในอดีตมักเกิดปัญหาที่ไม่มีทางออก คนมักเรียกร้องให้ทหารออกมา เขาจึงอยากให้ช่วยหาทางออกว่า เวลาเกิดวิกฤตให้มีช่องทางแก้ไขบ้านเมืองได้ โดยที่ทหารไม่ต้องออกมา
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของคสช.ทั้ง 10 ข้อ เช่นกรณีที่มีอยู่แล้วกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนเพิ่มเติมอีก อย่างข้อ 7 และข้อ 8 ที่เกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของทหาร ก็ไม่จำเป็น เนื่องจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ มีการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว
"ยืนยันได้ว่า การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองผู้มีอำนาจ โดยสามารถรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าผิดพลาด ก็เพราะโง่เขลาเบาปัญญา เพราะการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำเพื่อประเทศโดยตรง ทั้งนี้ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนได้ การแก้ปัญหา จึงต้องทำควบคู่กับการปฏิรูปการศึกษา กลไกตำรวจ ในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย" นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวเปิดการสัมมนาว่า กรธ. ทั้ง 21 คน เข้ามาทำงาน โดยมีแค่กระดาษเปล่าปึกหนึ่งเท่านั้น ไม่มีโผ ไม่มีพิมพ์เขียว มีแค่กรอบคร่าวๆ 5 ด้าน และร่างรธน.ต้องสั้น กระทัดรัด ไม่ต้องมีรายละเอียดมาก เพราะหากใส่ตามความเห็นของผู้เสนอทั่วประเทศ ก็จะทำให้รธน.หนามาก ดังนั้น กรธ.ต้องคิดว่าจะใส่อะไรลงไปจึงจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงกลไกการปฏิรูป และ ตรวจสอบ
" ขณะนี้มีเสียงวิจารณ์ว่า ทำไมประเทศไทยต้องมาคิดของใหม่ ไม่เลียนแบบกติกาของต่างชาติ กรธ.ก็ชี้แจงได้ว่า ปัญหาของประเทศไทยไม่เหมือนที่ใดในโลก อย่างเช่นไม่มีประเทศไหนที่บอกว่า ไม่ให้งบประมาณ หากไม่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ดังนั้นการออกแบบกติกา จึงต้องไม่เหมือนใครในโลก"
นายมีชัย ยอมรับว่า ด้วยสิติปัญญาของกรธ. 21 คน บางครั้งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ทุกเรื่อง และหลายเรื่องก็ยังคิดไม่ออก จึงต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาจุดประการต่อยอด และแก้ปัญหา แม้จะไม่นำไปใช้ทั้งหมด แต่ก็จะนำไปสกัดเพื่อให้มีอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่สติปัญญาของ กรธ. จะสามารถทำได้ เช่น ในตอนนี้สิ่งที่พบ และต้องการปฏิรูป แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คือ
1. เรื่องการศึกษาโดยเฉพาะการปลูกฝังวินัย เพราะหากขาดเรื่องดังกล่าวนี้ ก็จะนำมาซึ่งปัญหาทุกๆ ด้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่กรธ.คิดไม่ออก และต้องการฟังความเห็น 2. การปฏิรูปกลไกตำรวจ และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่ต้องใช้กฎหมายเอาใจนาย ใคร หรือผู้มีอิทธิพล มิเช่นนั้น บ้านเมืองก็ไม่สงบ และหากไม่ทำ 2 เรื่องนี้ ประเทศชาติก็เดินหน้าไม่ได้
" มีเรื่องตลกร้ายก็คือว่าคนไทยไหว้ทุกอย่าง ผมก็บอกว่าคนไทยไหว้ทุกอย่าง เพราะเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ เว้นแต่กฎหมาย คนไทยยิ่งกฎหมายมากเท่าไร หากคนไม่เชื่อ ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่จะเปรียบเป็นโซ่ตรวนเท่านั้น"
ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่า กรธ.ไม่ฝักไฝ่ในพรรคการเมืองใด มองแค่ว่ากลไกที่กรธ.วางไว้จะเอื้อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง หรือไม่ ถ้าประชาชนจะเลือกใคร กรธ.ก็คงไม่ไปเกี่ยวข้องแล้ว และหากใครจะแสดงความเห็นในเรื่องกระบวนการเข้าสู่การเมือง ก็ขอร้องให้ถอดพรรคการเมืองเอาไว้ที่บ้าน และมาตัวเปล่า แสดงความเห็นพร้อมเสนอแนะในสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และประเทศชาติ
นายมีชัย ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึง ข้อเสนอของ คสช. 10 ข้อ เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ ว่าก็ไม่ถือว่าพิเศษไปกว่าของคนอื่นที่เสนอมา โดยอนุกรรมการรับฟังความเห็น จะรวบรวมมานำเสนอต่อกรรมการอีกครั้ง อย่างเช่น กรณีภาวะวิกฤต ที่ถึงทางตันควรหาทางออกอย่างไร หากสามารถหาทางออกได้ในรัฐธรรมนูญโดยกลไกปกติที่มีอยู่ก็ควรทำ ส่วนเรื่องที่จะสร้างองค์กรใหม่ ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีหรือไม่ ถือเป็นเพียงข้อเสนอหนึ่ง
"ที่ผ่านมาจะมีปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ จนมีการเสนอไปถึง มาตรา 7 จึงคิดว่าจะหาหนทางไว้ว่า เมื่อเวลาเกิดทางตันจะทำอย่างไร โดยหลักคิด ยังไม่คิดถึงองค์กรใหม่ คิดแต่ว่ากลไกปกติ จะผูกโยงอย่างไรให้แก้วิกฤตได้ เพราะที่ผ่านมาเข้าใจ มาตรา 7 ผิด เนื่องจากเนื้อหาระบุเพียงว่าถ้ารัฐธรรมนูญไม่มีให้วินิจฉัยตามประเพณีการปกครอง การร่างรธน.ปี 40 และ 50 เขียนไว้ยาวเกิน ประเพณีการปกครองแล้วจึงไม่มีทางนำมาตรา 7 มาใช้ได้ แต่เวลาสิ้นไร้ไม้ตอกคนก็ไปนึกว่าจะใช้มาตรา 7 ตั้งนายกฯใหม่ ซึ่งกำลังทำความเข้าใจใหม่ว่า มาตรา7 ไม่เป็นเช่นนั้น แต่จะดูว่าเอาเนื้อหาใดมาใช้ประโยชน์ได้ถ้าใช้จะเขียนให้ชัดเจน ว่าจะใช้อย่างไร"
นายมีชัย ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่คิดสร้างอำนาจใหม่ เพื่อครอบอำนาจเดิม ส่วนที่คสช. เสนอให้มีการกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดทางตันนั้น คสช.คงมองเห็นว่า ในอดีตมักเกิดปัญหาที่ไม่มีทางออก คนมักเรียกร้องให้ทหารออกมา เขาจึงอยากให้ช่วยหาทางออกว่า เวลาเกิดวิกฤตให้มีช่องทางแก้ไขบ้านเมืองได้ โดยที่ทหารไม่ต้องออกมา
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของคสช.ทั้ง 10 ข้อ เช่นกรณีที่มีอยู่แล้วกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนเพิ่มเติมอีก อย่างข้อ 7 และข้อ 8 ที่เกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของทหาร ก็ไม่จำเป็น เนื่องจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ มีการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว
"ยืนยันได้ว่า การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองผู้มีอำนาจ โดยสามารถรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าผิดพลาด ก็เพราะโง่เขลาเบาปัญญา เพราะการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำเพื่อประเทศโดยตรง ทั้งนี้ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนได้ การแก้ปัญหา จึงต้องทำควบคู่กับการปฏิรูปการศึกษา กลไกตำรวจ ในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย" นายมีชัย กล่าว
