00 ก็เป็นไปตามคาดหมายที่วันที่ 1 พ.ย. ต้องมีคนใส่เสื้อแดงออกมา"ยั่วประสาท" ตามเสียงยั่วยุข้างนอก แต่ถึงอย่างไรหากพูดถึง"จำนวน" รับรองว่ามันก็ต้อง"หรอมแหรม"ไม่ได้มากมายอะไร สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า "ความเสี่ยง" ที่จะตามมา ว่าอาจมีรายการ "นอนคุก" แม้ว่าตอนใส่เสื้อแดงอาจมีความคึกคักสนุกสนาน แต่หลังจากนั้นมันก็อาจมีหมายเรียกมาถึงบ้าน ถึงตอนนั้นแหละมันไม่สนุก และมีตัวอย่างให้เห็นชัดเจนอยู่ตำตา ประเภท "เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" แต่ของจริงมีแต่โดนจำคุก10-30 ปี ลำบากอยู่แล้วก็ยิ่งแสนสาหัส ไม่เห็นมีหน้าไหนมามาช่วยดูแล มีแต่พูดให้เจ็บใจ เสียอีกว่า "แดงเทียม" ทุด !!
00 มันก็เหมือนกับคราวก่อนที่คุ้นๆ กับคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่า "ถ้าเสียงปืนแตก ผมจะเดินนำพี่น้องเอง" คราวนี้เอาอีก "นัดใส่เสื้อแดง" วันที่ 1 พ.ย. พร้อมหยอดคำหวาน "นักประชาธิปไตย" กันตามฟอร์ม แต่ขอโทษตัวเอง "อยู่ข้างนอก" อยู่ในที่ปลอดภัย ประเภทกำลังจิบไวน์ราคาแพง กำลังเลือกซื้อเสื่อผ้าแบรนด์เนม ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เหมือนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาทุกครั้ง ที่คนในครอบครัวนี้ไม่เคยอยู่ร่วมต่อสู้ หรือร่วมเสี่ยงด้วยกัน อย่างมากก็มีเพียงแค่มา "ส่งเสบียง" กล่าวทักทายสองสามคำแล้วก็เผ่นออกไป ยิ่งช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม คนในครอบครัวนี้ก็เผ่นหนีไปกบดานในต่างประเทศ ทุกครั้ง
00 อย่างไรก็ดี หากมองในมุมแบบเข้าใจก็น่าเห็นใจ ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกันว่า เขาก็ต้องดิ้นรน อย่างน้อยเพื่อหวังต่อรองอีกครั้ง เพราะมีคำหนึ่งที่พูดออกมาก็คือ มีการกล่าวถึง "ปรองดอง" อีกรอบ ซึ่งวิธีการที่เคยใช้มาตลอดก็คือ "มวลชน" กดดัน แม้ว่าจะรู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว แต่เมื่อกำลังเข้าตาจนมันก็ต้องเสี่ยงอีกครั้ง ที่ว่าสถานการณ์เปลี่ยน เพราะอำนาจได้เปลี่ยนมาอยู่ในมือ คสช. มีหัวขบวนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นับวันมีการ "กระชับอำนาจ" แบบมั่นคงขึ้นทุกวัน
00 จะว่าไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละที่ ทักษิณ ชินวัตร หวั่นเกรงมาตลอด ว่านี่แหละคือ "คู่ต่อกร" และที่ผ่านมาจะมีความพยายามสกัดกั้นมาโดยตลอด ตั้งแต่เส้นทางเติบโตในกองทัพ แต่ก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์พลิกผันมาจนถึงปัจจุบัน เมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของ ฝ่ายแรก และประกาศให้ทุกคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด ก็ทำให้ ทักษิณ ทรุดฮวบทันที เพราะจะ "ยาก" ขึ้น ขณะที่อีกฝ่าย "ลอยตัว"
ทันที
00 การประกาศเร่งรัดดำเนินการในการฟ้องร้องดำเนินคดีให้เสร็จสิ้นภายในปี 60 นั่นเท่ากับว่า กระบวนการในการพิจารณาก็จะใช้เวลาไม่นานนัก และที่น่าจับตาก็คือ ในคดีสำคัญที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น คดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่กำลังมีการขยายผลมาถึงคนใกล้ตัว คดีอาญาและแพ่งโครงการรับจำนำข้าว ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังโดนกระหน่ำ เพียงแค่นี้ก็อ๊วกแล้ว เพราะเสี่ยงคุก และการถูกฟ้องล้มละลาย ดังนั้นมันก็ต้องดิ้นให้สุดแรง เพียงแต่ว่ามันไม่ง่าย ด้วยปัจจัยและสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว นั่นแหละ !!
00 นอกจากนี้ ยังมีดาบสอง ดาบสาม ตามมาอีกอีกนั่นคือ คุณสมบัติต้องห้ามในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นแม่งานใหญ่ ยืนยันซ้ำๆว่า จะปิดทางคนโกง "คนที่เคยต้องคดีทุจริต" ใช้อำนาจมิชอบ คนพวกนี้ห้ามเข้าสนามการเมืองตลอดชีวิต แม้จะไม่ได้เจาะจงใคร แต่เมื่อ"เทรนด์ต้านโกง" มันแรง มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องไปกระทบ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกเข้าเต็มๆ ไม่ตั้งใจก็เหมือนตั้งใจ !!
00 มันก็เหมือนกับคราวก่อนที่คุ้นๆ กับคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่า "ถ้าเสียงปืนแตก ผมจะเดินนำพี่น้องเอง" คราวนี้เอาอีก "นัดใส่เสื้อแดง" วันที่ 1 พ.ย. พร้อมหยอดคำหวาน "นักประชาธิปไตย" กันตามฟอร์ม แต่ขอโทษตัวเอง "อยู่ข้างนอก" อยู่ในที่ปลอดภัย ประเภทกำลังจิบไวน์ราคาแพง กำลังเลือกซื้อเสื่อผ้าแบรนด์เนม ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เหมือนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาทุกครั้ง ที่คนในครอบครัวนี้ไม่เคยอยู่ร่วมต่อสู้ หรือร่วมเสี่ยงด้วยกัน อย่างมากก็มีเพียงแค่มา "ส่งเสบียง" กล่าวทักทายสองสามคำแล้วก็เผ่นออกไป ยิ่งช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม คนในครอบครัวนี้ก็เผ่นหนีไปกบดานในต่างประเทศ ทุกครั้ง
00 อย่างไรก็ดี หากมองในมุมแบบเข้าใจก็น่าเห็นใจ ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกันว่า เขาก็ต้องดิ้นรน อย่างน้อยเพื่อหวังต่อรองอีกครั้ง เพราะมีคำหนึ่งที่พูดออกมาก็คือ มีการกล่าวถึง "ปรองดอง" อีกรอบ ซึ่งวิธีการที่เคยใช้มาตลอดก็คือ "มวลชน" กดดัน แม้ว่าจะรู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว แต่เมื่อกำลังเข้าตาจนมันก็ต้องเสี่ยงอีกครั้ง ที่ว่าสถานการณ์เปลี่ยน เพราะอำนาจได้เปลี่ยนมาอยู่ในมือ คสช. มีหัวขบวนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นับวันมีการ "กระชับอำนาจ" แบบมั่นคงขึ้นทุกวัน
00 จะว่าไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละที่ ทักษิณ ชินวัตร หวั่นเกรงมาตลอด ว่านี่แหละคือ "คู่ต่อกร" และที่ผ่านมาจะมีความพยายามสกัดกั้นมาโดยตลอด ตั้งแต่เส้นทางเติบโตในกองทัพ แต่ก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์พลิกผันมาจนถึงปัจจุบัน เมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของ ฝ่ายแรก และประกาศให้ทุกคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด ก็ทำให้ ทักษิณ ทรุดฮวบทันที เพราะจะ "ยาก" ขึ้น ขณะที่อีกฝ่าย "ลอยตัว"
ทันที
00 การประกาศเร่งรัดดำเนินการในการฟ้องร้องดำเนินคดีให้เสร็จสิ้นภายในปี 60 นั่นเท่ากับว่า กระบวนการในการพิจารณาก็จะใช้เวลาไม่นานนัก และที่น่าจับตาก็คือ ในคดีสำคัญที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น คดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่กำลังมีการขยายผลมาถึงคนใกล้ตัว คดีอาญาและแพ่งโครงการรับจำนำข้าว ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังโดนกระหน่ำ เพียงแค่นี้ก็อ๊วกแล้ว เพราะเสี่ยงคุก และการถูกฟ้องล้มละลาย ดังนั้นมันก็ต้องดิ้นให้สุดแรง เพียงแต่ว่ามันไม่ง่าย ด้วยปัจจัยและสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว นั่นแหละ !!
00 นอกจากนี้ ยังมีดาบสอง ดาบสาม ตามมาอีกอีกนั่นคือ คุณสมบัติต้องห้ามในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นแม่งานใหญ่ ยืนยันซ้ำๆว่า จะปิดทางคนโกง "คนที่เคยต้องคดีทุจริต" ใช้อำนาจมิชอบ คนพวกนี้ห้ามเข้าสนามการเมืองตลอดชีวิต แม้จะไม่ได้เจาะจงใคร แต่เมื่อ"เทรนด์ต้านโกง" มันแรง มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องไปกระทบ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกเข้าเต็มๆ ไม่ตั้งใจก็เหมือนตั้งใจ !!