เมืองไทย 360 องศา
“ต่อให้งานหนักกว่านี้ ไม่มีเงินเดือน ก็จะอยู่ แต่อยู่ด้วยกลไกประชาธิปไตยให้สง่างาม” คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ทำให้มีการตีความกันว่า เขากำลังส่งสัญญาณว่าพร้อมกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านการลงประชามติมีผลบังคับใช้ และมีการเลือกตั้งไปแล้วโดยผ่านการโหวตในรัฐสภา
แม้ว่าคำพูดดังกล่าวยังมีความคลุมเครือไม่มีความชัดเจนแบบเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็มีความชัดเจนคืบหน้ามากกว่าเดิมที่ก่อนหน้านี้เคยกล่าวแค่ว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องแบบนี้” และแม้ว่าต่อมา พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาอธิบายในความหมายเดิมว่า
“นายกฯ ได้เคยตอบคำถามเหล่านี้ไปชัดเจนแล้วว่า เรื่องประเด็นทางการเมือง ใครจะเป็นนายกฯ ใครจะอยู่ต่อ อยู่สั้น อยู่ยาว ท่านบอกว่าไม่อยากจะไปคิดเรื่องนี้ และไม่อยากไปชี้แจง ตอบโต้ หรืออธิบายความให้มันมากเกินไป ตอนนี้หน้าที่ของท่าน คือ นายกฯ และหัวหน้า คสช. ท่านทำงานตามโรดแมปของท่านให้เต็มกำลัง เรื่องวันหน้าก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า นายกฯ มีความชัดเจนในตรงนี้ ทำงานเต็มที่ ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป” แน่นอนว่า สำหรับคอการเมืองก็ย่อมมองออกว่าเป็นการพูดให้หยุดการขยายความออกไป เพราะยังไม่ถึงเวลา
อย่างไรก็ดี คนที่ชี้แจงก็ไม่ใช่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความหมายย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกนั่นแหละ หากใครได้ฟังมันก็ย่อมเข้าใจความหมายแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องเข้าใจว่า ในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ปฏิเสธที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงแต่ว่าต้องมาตามกติกา “อย่างสง่างาม” ตามระบอบประชาธิปไตย
แน่นอนว่า มันย่อมมีความหมายที่แตกต่างกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจมองว่า ไม่ว่านายกฯ “คนนอก” หรือ “คนใน” หากมาตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญที่ผ่านการรับรองจากประชาชนส่วนใหญ่ ก็ถือว่า “สง่างามตามประชาธิปไตย” เพราะถึงอย่างไรก็ผ่านการโหวตในสภา (รัฐสภา) และนี่ไงถึงเป็นข้อกำหนดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ นำโดย มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ยืนกรานว่า ต้องให้ ส.ส. เท่านั้นเป็นคนเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ว่าครั้งแรกหรือครั้งที่สอง ก็เพื่อประกันความชอบธรรมและสง่างามดังกล่าวนั่นเอง
พิจารณาจากท่าทีข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีความคืบหน้ากว่าเดิม หากให้ประเมินก็น่าจะมาจากความมั่นใจตั้งแต่ผลการลงประชามติออกมาแล้ว และยังสำทับด้วยผลสำรวจตามมาอีกที่ชี้ให้เห็นเรตติ้งยังไม่ตก โดยเฉพาะความเห็นของชาวบ้านที่เวลานี้ไม่ได้ยึดติดอยู่กับเรื่อง “นายกฯมาจากการเลือกตั้ง” เหมือนครั้งก่อนแล้ว โดยเห็นว่าใครก็ได้ขอให้ “ดี - เก่ง - ไม่โกง”
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็อย่าได้แปลกใจที่พอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แหลมออกมานิดเดียว ก็มีเสียงดักคอตีกันตั้งแต่ไก่โห่เหมือนกัน โดยเฉพาะจากฟากของ เครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะมาในแบบพรรคเพื่อไทย หรือพวก นปช. ที่ดาหน้าออกมาโวยวายสั่งสอนประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งว่านี่คือความสง่างาม ไม่ใช่มาแบบ “สืบทอดอำนาจ” ก็ว่ากันไป พูดตอนนี้อาจไม่มีความหมายอะไรเพราะเส้นทางข้างหน้ายังอีกไกลพอสมควร ซึ่งคนพวกนี้ที่ออกมาตีกัน ก็เพราะได้รับผลกระทบเข้าอย่างจัง ทั้งลูกพี่ลูกน้อง หาก พล.อ.ประยุทธ์ มานั่งเป็นนายกฯอีกครั้งจริง ๆ
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเรื่องอนาคต แต่ก่อนถึงวันนั้นถ้าหากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังเป็นนายกฯอยู่ในตอนนี้ และยังเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยประกาศเอาไว้หลายครั้งแล้วว่า ภายในปี 59 และไม่เกินปี 60 ทุกคดีสำคัญจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ความหมายก็คือ ไม่รู้ว่าใครจะสืบทอดอำนาจจริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้มีหลายคนเริ่มทยอย “เดินเข้าคุก” กันเป็นแถว และยังซอยเท้ารออีกไม่น้อย โดยเฉพาะคดีรับจำนำข้าว คดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่กำลังจ่อคิว
และแม้ว่าในอนาคต หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มารับตำแหน่งนายกฯอีกครั้ง จะต้องเจอกับศึกใหญ่จากพวกนักการเมืองที่จ้องรุมถล่มในสภา แต่นั่นก็คงรับมือได้ เพราะคงมีการเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว แต่อย่างที่บอกก่อนถึงวันนั้นคนที่ปากดีอยู่ในเวลานี้จะเหลือรอดคุกอยู่กี่คน เพราะแต่ละคนล้วนมีคดีติดตัวเป็นหางว่าวทั้งนั้น !!