ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าพิจารณากวาดสายตากันจนทั่วยังไม่เห็นข่าวที่มีการแถลงอย่างเป็นทางการของ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เมื่อวันอังคารที่ 27 ตุลาคม ที่เปิดเผยกำหนดการตรวจราชการและพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่จังหวัดอุบลราชธานี ปรากฎออกมาตามสื่อในวันรุ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ต้องบอกว่ามันมีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว
พิจารณาจากความตั้งใจแถลงของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่อาศัยช่วงเวลาทองของรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ตอนเย็นแถลงเปิดเผยกำหนดการเดินทางไปเยือนภาคอีสานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันที่ 12 พฤศจิกายน โดยเริ่มที่จังหวัดอุบลราชธานีก่อน
แม้ว่าถ้ามองเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้นำประเทศต้องเดินทางไปตามหัวเมืองเพื่อตรวจตราความคืบหน้าตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งไปรับฟังปัญหาและพบปะกับชาวบ้าน ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติ หากมองแบบนั้นก็ได้ไม่ว่ากัน แต่สำหรับสถานการณ์ในบ้านเราเวลานี้ต้องมีการจับจ้องกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลานี้เป็นช่วง “เข้าด้ายเข้าเข็ม” มีเรื่องเดิมพันได้เสียกันในช่วงอีกไม่มีกี่เดือนข้างหน้านี้แหละ
หลายเรื่องสำคัญ เช่น การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เส้นทางปฏิรูปประเทศจะเดินหน้าไปตามความต้องการของชาวบ้านได้หรือไม่ คดีความสำคัญโดยเฉพาะคดีอาญาและแพ่งของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น และที่น่าจับตาก็คือมีการนัดหมายใส่เสื้อแดงกันทั้งประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนอีกด้วย ท่ามกลางเสียงเตือนแบบเข้มๆกลับมาจากรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ข้างหน้าก็ย่อมมองออกว่ากำหนดการเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ของนายกรัฐมนตรี ย่อมมีความหมายไม่น้อย และหากจำกันได้ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเดินทางไปตรวจราชการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ตอนนนั้นมีเสียงวิจารณ์และมีข้อสังเกตตามมาเหมือนกันในทำนองว่า “เลือกไปพื้นที่ชัวร์” ก่อน อย่างที่รู้กันว่าที่นั่นเป็นที่ฐานเสียงของ “กำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ หัวขบวน กปปส. ที่จนถึงเวลานี้ก็ยังให้กำลังใจ “ลุงตู่” อยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องการให้เวลาในการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ก็มักออกโรงให้ชาวสวนใจเย็นๆ แม้กระทั่งการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เปลี่ยนมือจาก บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาเป็น มีชัย ฤชุพันธุ์ ก็ยังมั่นใจชื่นชม
อย่างไรก็ดี เมื่อมีเสียงท้วงติง มีเสียงวิจารณ์แบบนินทาตามหลัง ทำให้กำหนดการเยือนสุราษฎร์ธานีที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้เริ่มเงียบหายไปในที่สุด จนกระทั่งล่าสุดมีการเปิดเผยกำหนดการไปตรวจราชการและเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานีอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 พฤศจิกายนมาแทน แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณากันในรายละเอียดจะว่าไปแล้ว จังหวัดอุบลฯก็ไม่ได้แตกต่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากนัก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณากันเฉพาะพื้นที่ก็ต้องเข้าใจว่าแม้จะเป็นจังหวัดในภาคอีสาน แต่ก็อาจเป็นเพียงจังหวัดเดียวที่ไม่ใช่เขตพื้นที่แดงทั้งหมด ที่จำได้มี ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ชื่อ “อิสสระ สมชัย” ที่สามารถยึดพื้นที่เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในเวลาต่อมาก็ผันตัวเองออกมาเป็นแกนนำ กปปส. อย่างเต็มตัว และที่สำคัญ เขาอยู่ในสายเดียวกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เสียด้วย
หากมองกันแบบนี้ในทางการเมืองก็ถือว่า “เผื่อเหลือเผื่อขาด” อย่างน้อยก็สามารถอุ่นใจได้เต็มร้อย แม้ว่าในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างเบ็ดเสร็จในมือ แต่ในทางการเมืองจะเสียเหลี่ยมไม่ได้เป็นอันขาด อันไหนที่ไม่สมควรเสี่ยงก็ต้องเลี่ยงให้มากที่สุด เพราะการเล่นกันมวลชนบางทีมันคาดคะเนได้ยาก
ดังนั้น การเลือกเดินทางไปเยี่ยมประชาชนประเดิมในพื้นที่ภาคอีสานที่จังหวัดอุบลราชธานี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ก็ต้องบอกว่าเป็นการคำนวณเวลาได้เหมาะเจาะ เหมือนกับเดินออกจาก “มุมอับ” คอยตั้งรับอยู่ข้างในเท่านั้น แต่นี่คือการโต้กลับหันกลับไปพบกับชาวบ้าน อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกรับรู้ปัญหาร้อยแปดที่กำลังประดังเข้ามา เป็นการสร้างอารมณ์ร่วม อีกทั้งการเริ่มต้นที่ภาคอีสานอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือน “ย้อนศร” ฝ่าไปวัดใจถึงถิ่นกันเลย แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีหลักประกันความชัวร์เอาไว้บ้างถึงต้องเลือกพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นประเดิม !!