xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ประชาธิปัตย์เน่าใน ใครใครก็ไม่รัก"ชายหมู"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวในเชิงลบเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่อเค้าว่าจะบานปลาย กลายเป็นความขัดแย้งภายใน โดยพุ่งเป้าไปที่การบริหารงานของกทม. ที่ "คุณชายหมู" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร นั่งเป็นผู้ว่าฯอยู่ ว่ามีเรื่องส่อทุจริต

โดยนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า นางมิรันตี เกตุทิพย์ อดีตข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ที่มีบ้านพักอยู่ย่านพุทธมณฑล สาย 2 เขตบางแค ทำเรื่องร้องเรียนถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าถูกคนร้ายบุกบ้านพักโจรกรรมทรัพย์สินมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท แต่กล้องซีซีทีวีของ กทม. บริเวณดังกล่าวที่มีอยู่ถึง 26 ตัว แต่ใช้การได้แค่ 5 ตัว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่สามารถได้ภาพใบหน้าของคนร้าย และเส้นทางที่จะนำไปสู่การจับกุมได้ อีกทั้งยังไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายใดๆ จาก กทม.

ต่อมา นายพรชัย เทพปัญญา สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.)ได้นำเรื่องนี้ไปตั้งกระทู้ถามสดต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ในที่ประชุมสภากทม. เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการระบบกล้องวงจรปิดของกทม. โดยเฉพาะประสิทธิภาพของกล้องในพื้นที่บริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 2 รวมทั้งมาตรการเยียวยาผู้เสียหาย

ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตอบกระทู้ดังกล่าวว่าโดยชี้แจงในภาพรวมว่า กทม. มีกล้องในความดูแลมากกว่า 4 หมื่นตัว และมี 1.4 หมื่นตัวที่เชื่อมสัญญาณไปยังสถานีตำรวจท้องที่ และ ผู้ว่าฯ กทม.ยังบอกด้วยว่า อย่าไปคาดหวังสูง กับกล้องวงจรปิด

ขณะที่ นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม.ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของกทม. กล่าวว่า กรณีนี้ได้ให้ภาพหลักฐานกับทางตำรวจไปแล้ว 4 ครั้ง โดยนายอมร อ้างว่ากล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ยังไม่ได้รับมอบจากบริษัทผู้รับเหมา แต่ไม่ได้ตอบคำถาม เรื่องการเยียวยาผู้เสียหายแต่อย่างใด

ทำให้นายวัชระ และผู้เสียหาย ที่นั่งฟังอยู่ในห้องประชุมสภากทม.ด้วย เห็นว่า นายอมร ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง แต่ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ นายวัชระ จึงออกมาแถลงข่าว เรียกร้องให้ พรรคปลดนายอมร ออกจากตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. โดยจะทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้พิจารณาในเรื่องนี้

นายวัชระ ยังระบุด้วยว่า โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดของกทม.นั้น ตามแผนที่กำนดไว้ จะต้องใช้กล้องถึง 1 แสนตัว รวมวงเงิน 4 หมื่นล้านบาท โดยจะสิ้นสุดโครงการในปี 2562 ซึ่งตนได้รับมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ ให้ติดตามเรื่องนี้มาร่วม 2 เดือน แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า เนื่องจาก เมื่อทำเรื่องขอเอกสารสัญญาระหว่างบริษัทเอกชน กับ กทม. เกี่ยวกับการติดตั้งกล้องวงจรปิด แต่ทางกทม.ก็ไม่ยอมส่งให้ อีกทั้งมีข้าราชการหลายคนบอกว่า กลล้องวงจรปิดที่กทม.จัดซื้อ เป็นกล้องจีน แต่ราคายุโรป แพงแต่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ซึ่งตนจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนการจัดซื้อดังกล่าว เพื่อขจัดข้อสงสัย และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ขณะที่ นางมิรันตี กล่าวว่ารู้สึกผิดหวังต่อการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และเจ้าหน้าที่กทม. อย่างมาก ตอนหาเสียงก็บอกว่า จะดูแลความปลอดภัยของประชาชน ติดตั้งกล้องซีซีทีวี 4-5 หมื่นตัว เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้มาร้องขอกรณีมีอาชญากรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ได้มากลับตรงกันข้าม เคยมีคนเสียชีวิตคาเสากล้องซีซีทีวี แต่ไม่มีภาพคนร้าย ใช้ไม่ได้เลย ราคาเท่ายุโรป แต่คุณภาพระดับจีน สมควรไหมที่ กทม. จะปฏิบัติต่อเราแบบนี้
 
" ดิฉันเสียใจมากที่เลือกผู้ว่าฯ คนนี้ เพราะไม่ซื่อสัตย์กับคำพูด ไม่ทำงาน และไม่รับผิดชอบกับนโยบายที่หาเสียง เป็นผู้บริหารต้องรับผิดชอบ ลองเข้าไปดูเพจของท่าน มีแต่ประชาชนก่นด่า" นางมิรันตี กล่าว

เรื่องกล้องซีซีทีวี ยังไม่มีข้อสรุป แต่ไม่กี่วันถัดมา นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และอดีต ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาเปิดอีกแผลว่า มีข้าราชการมาร้องเรียนว่า มีรองผู้ว่าฯกทม. คนหนึ่ง เดินทางไปต่างประเทศทุกเดือน นั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส และต้องไปจบที่ประเทศฝรั่งเศส และเยอรมัน โดยใช้เงินสดซื้อตั๋ว ตั้งข้อสงสัยว่า ที่มาของเงินจะเกี่ยวข้องกับ กรณีการทำหนังสือเวียนถึงเขตต่างๆ ที่ขอให้ตรวจสอบ และทำเรื่องมาถึงกทม. เพื่อขอให้ซื้อรถต่างๆ เช่น รถดูดเลน รถดูดไขมัน หรือไม่ ซึ่งเดิมแต่ละเขตจะมีอยู่แล้ว 1 คัน แต่มีการสั่งภายในให้เขตทำเรื่องเสนอมา พร้อมกำหนดสเปก เช่น รถดูดไขมันขนาด 8 คิว คันละ 24 ล้านบาท ซึ่งการที่ต้องสั่งให้เขตต่างๆ ทำเรื่องขึ้นมา ก็เพื่อใช้อ้างกรณีถูกตรวจสอบว่า เป็นการเสนอขอซื้อจากเขต ไม่ใช่เป็นคำสั่งจากรองผู้ว่าฯ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีเรียกรับผลประโยชน์ จากแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของ กทม. เช่น การย้าย ผอ.เขต ต้องใช้เงินถึง 7 หลัก ไม่แพ้ในวงการตำรวจ อย่าง ผอ.เขตบางกอกใหญ่ ในพื้นที่ตน มีการทำเรื่องย้ายลูกน้องตัวเอง ซึ่งเป็นนายช่างโยธาเขตจตุจักร มาอยู่เขตบางกอกใหญ่ โดยให้หัวหน้าฝ่ายโยธา มีคำสั่งระบุให้ดูแลพื้นที่ฝั่งซ้ายของ ถนนจรัญสนิทวงศ์ และถนนเพชรเกษม ซึ่งเป็นฝั่งที่มีคอนโดมิเนี่ยมจำนวนมาก มีการเรียกค่าเซ็นใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่ถูกแบบกลางของ กทม.แล้ว

ยังมีการสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติ ที่เขตธนบุรี โดยประมูลงานผ่านอีอ็อกชั่น แต่ก็ได้บริษัทของคนสนิทของรองผู้ว่าฯ คนหนึ่ง ที่น่าแปลกใจคือมีการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา โดยมีการระดมหรือสั่งข้าราชการกทม.ให้อำนวยความสะดวกให้กับบริษัทดังกล่าวทุกอย่าง เมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเสร็จ เพิ่งจะมาเร่งรัดกับทางเขต ให้รีบเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง โอยอ้างว่ารองผู้ว่าฯ สั่งให้รีบเซ็น

เท่านั้นยังไม่พอ มีการขนทีมงานของรองผู้ว่าฯ รายนี้ไปฉลองเกษียณอายุราชการที่ญี่ปุ่น โดยมีการซื้อสินค้าจากบริษัท คิงพาวเว่อร์ในช่วงโปรโมชั่น ซื้อครบ 5 หมื่น จะแจกตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่น 1 ใบ ปรากฏว่า มีการสั่งซื้อสินค้าลอตเดียว 5 ล้านบาท ได้ตั๋วไปกลับ 100 ใบ ถาม

ว่า เอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้าดังกล่าว ใครเป็นผู้ดูแล และมีการขนข้าราชการกทม. ในส่วนบริหารไปเที่ยวเป็นละลอก ล่าสุด กำลังไปเที่ยวสหรัฐฯ อีก7 คน

ถามว่าเอาเงินมาจากไหน

กับเรื่องไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ นายวิลาศ จึงเรียกร้องให้สตง. เข้ามาตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ กทม.ด้วย และจะนำเรื่องต่างๆ พร้อมพยานหลักฐาน เข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. เพื่อขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ใช้จ่ายในเรื่องนี้ ทั้งหมด รวมทั้งจะยื่นให้ คสช.เข้ามาตรวจสอบด้วย  
     
 "ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นหน้าผู้ว่าฯ กทม.เลย และไม่รู้ว่าท่านจะเข้าศาลาว่าการเมืองไร หรือย้ายไปอยู่ดอยแล้ว แต่ขอตั้งข้อสังเกต เรื่องการใช้งบฯว่า ก่อนหน้านี้ กทม. มีเงินสะสมอยู่ 3 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันลองไปขอตรวจสอบดู เหลือไม่ถึง 2 พันล้านบาท เพราะแต่ละคน มือฉกาจในการทำเรื่องของบประมาณทั้งนั้น" นายวิลาศ ระบุ

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าได้พบกับ นายวิลาศ และ นายวัชระ ที่เข้ามารายงานเรื่องต่างๆ แล้ว ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบตามปกติ ไม่ใช่ความขัดแย้ง ซึ่งจะได้นัด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มาหรืออีกครั้งหนึ่ง หลังกลับจากเดินทางไปต่างประเทศ

การที่นายวัชระ และนายวิลาศ ออกมาเปิดฉากถล่ม ถึงการบริหาร และขุดค้ยเรื่องส่อทุจริตในการบริหารงานของ กทม. แม้จะพุ่งเป้าไปที่ นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็ไม่ต่างจากการตีกระทบไปถึง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ระยะหลัง ตั้งแต่เป็นผู้ว่าฯ กทม.รอบที่ 2 ก็มีแต่เรื่องถูกโจมตี ถึงการปล่อยปละ ละเลย ในการบริหาร ที่เห็นชัดที่สุด คือ เรื่องการป้องกัน และแก้ปัญหาน้ำท่วม

หากปล่อยให้ความเสื่อมศรัทธา ของประชาชนที่มีต่อผู้ว่าฯ กทม. เป็นไปอย่างนี้ โดยไม่มีการแก้ไข ก็ย่อมส่งผลกระทบถึงความนิยมในพรรค รวมทั้งฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป        

ที่สำคัญ ที่คนในพรรคทนไม่ได้ ก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พยายามทำตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในด้านการบริหารราชการ และการบริหารงบประมาณของ กทม. เรื่องฉาว เรื่องแฉ จึงเกิดขึ้นจากคนในพรรคเดียวกันเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น