xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้อง"สนธิ"ไม่หมิ่น"แม้ว" ปราศรัยซื้อปชช.-หมกมุ่นไสยศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ยกฟ้องคดี “ทักษิณ” ฟ้อง “สนธิ” ฐานหมิ่นประมาท กรณีปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ปี 49 ระบุใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ ชี้เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม และมีพฤติกรรมตามที่นำสืบจริง ขณะเดียวกัน พิพากษายืนจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสน แต่ให้รอลงอาญา “ปราโมทย์ นาครทรรพ” ตีพิมพ์บทความยุทธศาสตร์ปฏิญญาฟินแลนด์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.30 น. วานนี้ (21 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.1062/2549 ที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. พ.ศ. 2541

กรณีนี้ เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 6-24 มี.ค.2549 จำเลยที่ 1 กล่าวปราศรัยทำนองว่า โจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่ จ.ภูเก็ต กล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า ต้องไล่ให้ไปประเทศสิงคโปร์ และยังกล่าวหาว่า โจทก์หมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ให้หมอเขมรไปทำพิธีที่ทำเนียบรัฐบาล ทำพิธีฝังรูปฝังรอยที่ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ และอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ เหตุเกิดที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร (กทม.) และทั่วราชอาณาจักร

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2550 ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 328 จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 รวม 2 ปี และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 4 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 ของศาลนี้ ให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชนรายวัน รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า โจทก์จัดการปราศรัยโดยมีประชาชนมานั่งฟังจำนวนมาก จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและใช้อุปกรณ์ในการจัดเวทีปราศรัย ติดป้าย แขวนบัตรจำนวนมากตามไปด้วย ข้อเท็จจริงทำให้จำเลยที่ 1 และคนทั่วไปเข้าใจได้ว่า การจัดปราศรัยของโจทก์ต้องใช้เงินจำนวนมาก การปราศรัยของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นธรรม ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยว่าได้ข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพลว่า มีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง และถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาเวทีพันธมิตรกู้ชาติที่ จ.ภูเก็ต

โดยจำเลยนำสืบว่า ขณะรณรงค์ต่อต้านให้โจทก์ลาออกนั้น บ้านจำเลยถูกลอบยิง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถหาคนร้ายมาลงโทษได้ ประกอบกับเห็นคนแต่งกายคล้ายตำรวจมาซุ่มอยู่แถวบ้าน และเวทีพันธมิตรที่ภูเก็ตก็ถูกเผา ประเด็นนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้าง จึงฟังได้ว่าขณะจำเลยที่ 1 รณรงค์ต่อต้านโจทก์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ตามพฤติการณ์เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่ป้องกันตัวเอง ส่วนกรณีกล่าวหาว่าโจทก์เป็นบ้านั้น คนทั่วไปยังเห็นว่าโจทก์เป็นคนปกติ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย แต่กรณีที่กล่าวหาว่าชาติกำลังวิบัติ เพราะมีนายกฯ ที่หมกมุ่นกับไสยศาสตร์นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำตามที่จำเลยที่ 1 ปราศรัย และการที่โจทก์จะเชื่อไสยศาสตร์ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับประชาชน การกล่าวหาดังกล่าวของจำเลยในส่วนนี้ย่อมทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง

อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 หนึ่งกระทง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี โดยให้รอลงอาญา 2 ปี อนึ่ง เพื่อให้หลาบจำให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 2 หมื่นบาท และให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.ผู้จัดการ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง (อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2554) ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฎีกาและจำเลยที่ 1 ก็ได้ยื่นฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวปราศรัยว่า ชาติบ้านเมืองกำลังจะวิบัติ เพราะเรามีนายกฯ ที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้สมัครใจและลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อจะบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สามารถกำหนดนโยบายและมีผลโดยตรงต่อความเจริญก้าวหน้าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ และยังได้บริหารเงินงบประมาณของแผ่นดินอันมีผลตามกฎหมาย การกระทำความเชื่อ อุปนิสัยต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็อาจมีผลต่อความไว้วางใจตามศรัทธาความเชื่อ ความสง่างามและศักดิ์ศรีของประเทศด้วย ซึ่งประชาชนทุกคนย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ที่จะสามารถวิจารณ์ให้ความเห็นในทางปกป้องส่วนได้เสียของตนเองรวมทั้งผลประโยชน์ของประเทศชาติได้

ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยนั้น ก็มีพฤติกรรมต่างๆ ของโจทก์ เห็นว่าโจทก์มีความเชื่อทางไสยศาสตร์ค่อนข้างมาก โดยที่โจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าพฤติกรรมของโจทก์ในหลายเรื่องมุ่งไปทางไสยศาสตร์ เช่น การตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ในทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ทำพิธีเป็นชาวกัมพูชา และมีคนร้ายทุบพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ ต่อมามีการประดิษฐานพระพรหมขึ้นมาใหม่ โดยเป็นหน้าที่ของมูลนิธิท้าวมหาพรหม ซึ่งโจทก์ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วย แต่รีบเดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อร่วมพิธี โดยห้ามบุคคลอื่นไม่ให้เข้าร่วมพิธีกรรมด้วย เว้นแต่คนใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีการใช้พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อทำบุญประเทศ อีกทั้งมีการนำคณะรัฐมนตรีไปประชุมที่ปราสาทหินพนมรุ้ง อ้างว่าส่งเสริมการท่องเที่ยว ความจริงเป็นการแก้เคล็ด เพื่อให้โจทก์ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างยั่งยืน และสถานที่ดังกล่าวใช้ทำพิธีกรรมของกษัตริย์ ที่คนสมัยก่อนเชื่อว่าเป็นสถานที่ชุมนุมของเทพและเทวดา จึงน่าเชื่อว่าโจทก์มีพฤติกรรรมตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ ประชาชนและคนทั่วไปจึงสามารถแสดงความคิดเห็น ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่คนทั่วไปสามารถกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1

ภายหลังนายสนธิ กล่าวว่า คดีนี้ได้ยื่นฎีกาในข้อเท็จจริงและศาลได้เมตตาให้ยกฟ้องในข้อนี้ เนื่องจากเห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบคัดค้านในประเด็นที่เกี่ยวกับความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ เช่น การทุบศาลพระพรหม การจัดตั้งศาลพระภูมิใหม่ในทำเนียบรัฐบาล และมีพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดพระแก้ว ก็ทำให้ตนและประชาชนอาจจะเชื่อได้ และมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นได้

วันเดียวกันนี้ ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1747/2549 ที่พรรคไทยรักไทย และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู (ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวน) , นายขุนทอง ลอเสรีวานิช อดีตบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ เป็นจำเลย ที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328, 393

ตามฟ้องโจทก์ปี 2549 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17-25 พ.ค.2549 จำเลยทั้ง 5 ได้ร่วมกันตีพิมพ์และเผยแพร่โฆษณาบทความ “ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย?” ของนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ โดยใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1 และนายทักษิณ โจทก์ที่ 2 ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง จำเลยให้การปฏิเสธ

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2552 เห็นว่าบทความรวม 5 ตอนลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเผยแพร่ในเว็บไซต์ ที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนนั้น ข้อความกล่าวถึงโจทก์ ทำนองว่ามีนโยบายที่ต้องการทำลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีบุคคลเป็นพยานเบิกความ และไม่นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ทั้ง 2 ได้กระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด บทความนั้นจึงไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามหลักวิชาการ โดยนายขุนทอง จำเลยที่ 4 เป็น บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน มีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์ เชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ทั้ง 2 จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 เป็นเวลา 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ นักประชาธิปไตย และจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติ ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถาบันที่เคารพ ประกอบกับ จำเลยที่ 1 และ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับ ประกอบด้วย ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง และมติชน ส่วน บมจ.แมเนเจอร์ฯ จำเลยที่ 2 และนายปัญจภัทร ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ จำเลยที่ 5 ให้ยกฟ้อง

ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 4 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 5 เม.ย.2556 ยืนบทลงโทษในส่วนของนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ผู้เขียนบทความ แต่นายขุนทอง บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำเลยที่ 4 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง เนื่องจากห็นว่ายังไม่มีมูลว่ากระทำความผิด ขณะที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ประเด็นที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาประเด็นอำนาจฟ้องของพรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1, การมอบอำนาจให้นายนพดล มีวรรณะ เป็นผู้แทนยื่นฟ้องและเบิกความนั้น นายนพดลไม่ใช่ผู้เสียหายแท้จริง และการพิจารณาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ที่เกินคำขอของโจทก์และประเด็นอื่น รวม 5 ประเด็นนั้น เป็นการโต้แย้งประเด็นข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ศาลล่างทั้ง 2 ศาล พิพากษายืนในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่อาจรับฎีกาจำเลยไว้วินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืนที่ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง มติชน เป็นเวลา 7 ติดต่อกันด้วยอักษรขนาดปกติ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายปราโมทย์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ไม่ติดใจผลคำพิพากษา ถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ดี ตนก็ยังจะเขียนบทความเรื่องต่างๆ ต่อไป ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับบทความปฏิญญาฟินแลนด์นั้น ตนไม่ใช่คนแรกที่พูด แต่มีนักวิชาการอื่นเคยพูดก่อนซึ่งตนไม่เคยใช้คำว่าปฏิญญาฟินแลนด์ แต่ใช้คำว่ายุทธศาสตร์ฟินแลนด์ โดยมีคดีที่อดีตนายกฯ ทักษิณยื่นฟ้อง 2 สำนวน ที่อีกสำนวนศาลได้ยกฟ้องไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์ นอกจากคดีของนายปราโมทย์ หมายเลขดำ ที่ อ.1747/2549 แล้ว พรรคไทยรักไทยและอดีตนายกฯ ทักษิณ ยังได้ยื่นฟ้องนายสนธิ , นายปราโมทย์ และสื่อเครือผู้จัดการรวม 11 ราย เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำ ที่ อ.1818/2549 ในความผิดเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อปี 2556 ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น