ASTVผู้จัดการรายวัน - “ประยุทธ์” รับผิดกรณีตั้งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ชี้เด้งคนเด่าเพราะงานช้า-มีร้องเรียนทุจริต ระบุยกเลิกคำสั่ง คสช.สะท้อนรับฟัง-ไม่ดันทุรัง ไม่เกี่ยวกระแสต้าน ขู่ไล่เช็คทุกกระทรวง งานไม่เดินมีเด้ง ขรก.อีก วอนสื่ออย่าเชื่อมโยงทุกเรื่อง ลั่นต่อไปนี้พูดเฉพาะประเด็นสำคัญ “ไก่อู” ชี้นายกฯหวั่นสร้างปมขัดแย้ง หละงหลายประเด็นร้อนงวดเข้ามา
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ว่า ตนเป็นผู้ทบทวนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการขับเคลื่อนด้านการทำงานของสภาฯ รวมไปถึงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ให้รวดเร็ว เมื่อคนนี้ทำช้าก็หาคนอื่นมาทำแทน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณ และการทิ้งดินบ้าง ทั้งนี้การเหตุผลของการโยกย้ายมี 2 อย่างคือ 1.การทุจริต และ 2.เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งตอนนี้ย้ายเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพก่อน ถ้ามีเรื่องการทุจริตเข้ามาก็ไปสอบกันต่อ เพราะมีกลไกในการตรวจสอบ ที่มีปัญหาสำคัญที่สุดคือเมื่อตั้งมาแล้วตนได้สั่งให้ทบทวน ว่าติดขัดอะไรกันหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าจะแต่งชุดดำเพราะ เรื่องนี้ทำอะไรกับตนไม่ได้อยู่แล้ว
“ผมใช้อำนาจผิดตรงไหน นี่ไงผมไม่ได้ใช้อำนาจแบบไม่ฟังใครซะเมื่อไหร่ และผมได้รับฟังและให้ไปทบทวนว่าทำไมจึงมีปัญหา ผมไม่ได้ดันทุรังไปทุกเรื่อง อีกทั้งได้ให้ไปเช็คไปเช็คมาปรากฎว่าเขายังอยู่ในระบบของการแต่งตั้งเดิมอยู่ จึงจะไปปรับให้เขามาเป็นเลขาธิการฯเลยไม่ได้ ผมก็ยอมรับว่าผิดด้วย เพราะผมเซ็นไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** สวน “นิพิฏฐ์” สมัยมีอำนาจไม่ทำอะไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการโยกย้ายในลักษณะนี้เสนอเรื่องจากข้างล่างขึ้นมาไม่ได้ ตนก็จำเป็นต้องใช้อำนาจด้วยเหตุผลและความจำเป็น ทั้งที่ไม่ได้อยากจะตั้งหรือยกเลิกด้วยมาตรา 44 ด้วยซ้ำไป แต่อะไรต่างๆที่เป็นการขับเคลื่อนให้เร็วขึ้นก็จำเป็น ไม่ใช่ต้องการไปรังแกข้าราชการ
ส่วนกรณีที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า คสช.ใช้ มาตรา 44 พร่ำเพรื่อเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องเล็กๆเป็นปัญหาของเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น ถามว่าการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่ทำให้เสร็จ ทุกคดีทำไมไม่เสร็จสมัยที่เขาเป็นรัฐบาลกัน พอตนเอามาทำก็เดือดร้อนอีก หาว่าตนอย่างโน้นอย่างนี้ คดีเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาทั้งสิ้น เอาเข้ามาในกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ไปสู้คดีกันไป
“เป็นรัฐบาลมาคนละกี่ปีแล้วทำไมไม่ทำ ความเข้มแข็งของประเทศอยู่ตรงไหน การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอยู่ที่ไหน การบังคับใช้กฎหมายเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ได้ปรับปรุงดูแลประสิทธิภาพกันหรือไม่” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการใช้มาตรา 44 ในการย้ายข้าราชการอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าคนทำดีคงไม่มีเหตุผลที่ต้องย้าย แต่หากขับเคลื่อนงานไม่ได้ก็ต้องย้าย ถ้าปล่อยระบบปกติทำ ก็ต้องถามว่าแล้วทำกันหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่าจะมีการสั่งย้ายในล็อตต่อไปอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนก็ไล่ไปทุกกระทรวง ที่สั่งอะไรไปบ้างแล้วไม่เสร็จ อยู่ที่ใคร ใครต้องทำ และไม่เสร็จเพราะอะไร ชาวบ้านร้องเรียนหรือไม่ ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ถ้าอยู่แล้วเสียหายก็ต้องออกมาก่อน ถ้าไม่ผิดให้กลับไป ที่เอาออกมาก็เอากลับไปหลายคน
** ต่อไปนี้ให้ข่าวเฉพาะเรื่องสำคัญ
ส่วนกรณีที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นเวลา 7 วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้หายไปไหน ทำงานอยู่ทำเนียบทุกวัน และไม่ได้โกรธแค้นใคร แต่ต่อไปนี้จะพูดเฉพาะประเด็นสำคัญ ขอสื่อมวลชนอย่านำทุกเรื่องมาเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริตและกระบวนการยุติธรรมเพราะทุกเรื่องเกิดก่อนที่ตนจะเข้ามา ทำให้มีปัญหาเรื่องการรับรู้ไปถึงต่างประเทศด้วย โดยสั่งให้ทำหนังสือชี้แจงไปยังต่างประเทศ ไม่อยากให้ต่างประเทศรับรู้ผ่านทางสื่ออย่างเดียว
“เมื่อวาน (19 ต.ค.) ผมได้มีโอกาสพบผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคน รวมถึง ท่านอานันท์ (ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี) มีความเห็นตรงกัน สังคมมีปัญหาเรื่องของการบิดเบือนข้อมูลว่ามีการสร้างอำนาจใหม่ ดังนั้นผมจึงได้ชี้แจงและพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย รวมถึง สปท. และแม่น้ำ 5 สายแล้ว คาดว่าต่อจากนี้จะสร้างการรับรู้ไปในทิศทางเดียวกันได้” นายกฯ ระบุ
** “ไก่อู” แจงนายกฯหวั่นถูกโยงสร้างขัดแย้ง
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมตรี กล่าวว่า ไม่ใช่นายกฯไม่อยากคุยกับสื่อ ถ้าหากมีวาระประชุมที่ต้องเดินทางก็ต้องคุยกันอยู่แล้ว แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีวาระประชุมหรืองานนอกสถานที่มากนัก นายกฯก็ปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบเป็นส่วนใหญ่ โดยสิ่งที่นายกฯต้องการทำความเข้าใจคือ การปฏิบัติงานของนายกฯไม่ได้หมายความว่า เมื่อเสร็จแล้วต้องชี้แจง เพียงแต่ที่ผ่านมานายกฯรู้สึกต้องการอธิบายให้สังคมเข้าใจมากขึ้น ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่า เมื่อนายกฯทำงานเสร็จแล้ว ต้องลงมาเล่าให้สื่อฟัง ที่สำคัญขณะนี้จะเห็นว่าสิ่งต่างๆกำลังงวดเข้ามา เช่นคดีความต่างๆที่กำลังเข้าสู่วาระอายุความ ทั้งที่รัฐเป็นโจทก์และจำเลย และมีผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นธรรมดาผู้ที่ได้รับผลกระทบจะต้องออกมาชี้แจงอธิบายให้สังคมฟัง ก็จะเกิดเป็นปมประเด็นความขัดแย้ง และสื่อก็จะนำมาถามนายกฯ ซึ่งนายกฯจะตอบยังไงก็แล้วแต่ ก็สามารถโยงหรือขยายให้เกิดความขัดแย้งได้ นายกฯจึงระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศเช่นนั้น จึงมอบหมายให้ตน และฝ่ายกฏหมายเป็นผู้ชี้แจง เพราะน่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า
“นายกฯให้ทั้งผม และ พล.ต.วีรชน “สึคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) และในส่วนกฏหมายที่เกี่ยวข้องอธิบาย เพราะที่ผ่านมาบางทีในบางประเด็นเป็นเรื่องข้อกฏหมายที่ต้องมีการอธิบายความให้เข้าใจ เช่น ทำไมถึงไม่ฟ้องร้องศาล ทำไมถึงใช้อำนาจทางการปกครอง ซึ่งถ้าไปดูในรายละเอียด จะพบว่าอำนาจทางการปกครองนั้นมีกฏหมายรองรับ ถ้ารัฐบาลนี้เพิกเฉยไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเลยต่อกฏหมาย และจะต้องถูกแจ้งว่าละเลยการปฏิบัติตามข้อกฏหมาย และอาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบเสียเอง เพราะมันมีข้อกฏหมายที่เราไม่ทำไม่ได้” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว.
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ว่า ตนเป็นผู้ทบทวนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการขับเคลื่อนด้านการทำงานของสภาฯ รวมไปถึงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ให้รวดเร็ว เมื่อคนนี้ทำช้าก็หาคนอื่นมาทำแทน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณ และการทิ้งดินบ้าง ทั้งนี้การเหตุผลของการโยกย้ายมี 2 อย่างคือ 1.การทุจริต และ 2.เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งตอนนี้ย้ายเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพก่อน ถ้ามีเรื่องการทุจริตเข้ามาก็ไปสอบกันต่อ เพราะมีกลไกในการตรวจสอบ ที่มีปัญหาสำคัญที่สุดคือเมื่อตั้งมาแล้วตนได้สั่งให้ทบทวน ว่าติดขัดอะไรกันหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าจะแต่งชุดดำเพราะ เรื่องนี้ทำอะไรกับตนไม่ได้อยู่แล้ว
“ผมใช้อำนาจผิดตรงไหน นี่ไงผมไม่ได้ใช้อำนาจแบบไม่ฟังใครซะเมื่อไหร่ และผมได้รับฟังและให้ไปทบทวนว่าทำไมจึงมีปัญหา ผมไม่ได้ดันทุรังไปทุกเรื่อง อีกทั้งได้ให้ไปเช็คไปเช็คมาปรากฎว่าเขายังอยู่ในระบบของการแต่งตั้งเดิมอยู่ จึงจะไปปรับให้เขามาเป็นเลขาธิการฯเลยไม่ได้ ผมก็ยอมรับว่าผิดด้วย เพราะผมเซ็นไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** สวน “นิพิฏฐ์” สมัยมีอำนาจไม่ทำอะไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการโยกย้ายในลักษณะนี้เสนอเรื่องจากข้างล่างขึ้นมาไม่ได้ ตนก็จำเป็นต้องใช้อำนาจด้วยเหตุผลและความจำเป็น ทั้งที่ไม่ได้อยากจะตั้งหรือยกเลิกด้วยมาตรา 44 ด้วยซ้ำไป แต่อะไรต่างๆที่เป็นการขับเคลื่อนให้เร็วขึ้นก็จำเป็น ไม่ใช่ต้องการไปรังแกข้าราชการ
ส่วนกรณีที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า คสช.ใช้ มาตรา 44 พร่ำเพรื่อเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องเล็กๆเป็นปัญหาของเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น ถามว่าการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่ทำให้เสร็จ ทุกคดีทำไมไม่เสร็จสมัยที่เขาเป็นรัฐบาลกัน พอตนเอามาทำก็เดือดร้อนอีก หาว่าตนอย่างโน้นอย่างนี้ คดีเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาทั้งสิ้น เอาเข้ามาในกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ไปสู้คดีกันไป
“เป็นรัฐบาลมาคนละกี่ปีแล้วทำไมไม่ทำ ความเข้มแข็งของประเทศอยู่ตรงไหน การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอยู่ที่ไหน การบังคับใช้กฎหมายเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ได้ปรับปรุงดูแลประสิทธิภาพกันหรือไม่” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการใช้มาตรา 44 ในการย้ายข้าราชการอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าคนทำดีคงไม่มีเหตุผลที่ต้องย้าย แต่หากขับเคลื่อนงานไม่ได้ก็ต้องย้าย ถ้าปล่อยระบบปกติทำ ก็ต้องถามว่าแล้วทำกันหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่าจะมีการสั่งย้ายในล็อตต่อไปอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนก็ไล่ไปทุกกระทรวง ที่สั่งอะไรไปบ้างแล้วไม่เสร็จ อยู่ที่ใคร ใครต้องทำ และไม่เสร็จเพราะอะไร ชาวบ้านร้องเรียนหรือไม่ ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ถ้าอยู่แล้วเสียหายก็ต้องออกมาก่อน ถ้าไม่ผิดให้กลับไป ที่เอาออกมาก็เอากลับไปหลายคน
** ต่อไปนี้ให้ข่าวเฉพาะเรื่องสำคัญ
ส่วนกรณีที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นเวลา 7 วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้หายไปไหน ทำงานอยู่ทำเนียบทุกวัน และไม่ได้โกรธแค้นใคร แต่ต่อไปนี้จะพูดเฉพาะประเด็นสำคัญ ขอสื่อมวลชนอย่านำทุกเรื่องมาเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริตและกระบวนการยุติธรรมเพราะทุกเรื่องเกิดก่อนที่ตนจะเข้ามา ทำให้มีปัญหาเรื่องการรับรู้ไปถึงต่างประเทศด้วย โดยสั่งให้ทำหนังสือชี้แจงไปยังต่างประเทศ ไม่อยากให้ต่างประเทศรับรู้ผ่านทางสื่ออย่างเดียว
“เมื่อวาน (19 ต.ค.) ผมได้มีโอกาสพบผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคน รวมถึง ท่านอานันท์ (ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี) มีความเห็นตรงกัน สังคมมีปัญหาเรื่องของการบิดเบือนข้อมูลว่ามีการสร้างอำนาจใหม่ ดังนั้นผมจึงได้ชี้แจงและพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย รวมถึง สปท. และแม่น้ำ 5 สายแล้ว คาดว่าต่อจากนี้จะสร้างการรับรู้ไปในทิศทางเดียวกันได้” นายกฯ ระบุ
** “ไก่อู” แจงนายกฯหวั่นถูกโยงสร้างขัดแย้ง
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมตรี กล่าวว่า ไม่ใช่นายกฯไม่อยากคุยกับสื่อ ถ้าหากมีวาระประชุมที่ต้องเดินทางก็ต้องคุยกันอยู่แล้ว แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีวาระประชุมหรืองานนอกสถานที่มากนัก นายกฯก็ปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบเป็นส่วนใหญ่ โดยสิ่งที่นายกฯต้องการทำความเข้าใจคือ การปฏิบัติงานของนายกฯไม่ได้หมายความว่า เมื่อเสร็จแล้วต้องชี้แจง เพียงแต่ที่ผ่านมานายกฯรู้สึกต้องการอธิบายให้สังคมเข้าใจมากขึ้น ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่า เมื่อนายกฯทำงานเสร็จแล้ว ต้องลงมาเล่าให้สื่อฟัง ที่สำคัญขณะนี้จะเห็นว่าสิ่งต่างๆกำลังงวดเข้ามา เช่นคดีความต่างๆที่กำลังเข้าสู่วาระอายุความ ทั้งที่รัฐเป็นโจทก์และจำเลย และมีผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นธรรมดาผู้ที่ได้รับผลกระทบจะต้องออกมาชี้แจงอธิบายให้สังคมฟัง ก็จะเกิดเป็นปมประเด็นความขัดแย้ง และสื่อก็จะนำมาถามนายกฯ ซึ่งนายกฯจะตอบยังไงก็แล้วแต่ ก็สามารถโยงหรือขยายให้เกิดความขัดแย้งได้ นายกฯจึงระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศเช่นนั้น จึงมอบหมายให้ตน และฝ่ายกฏหมายเป็นผู้ชี้แจง เพราะน่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า
“นายกฯให้ทั้งผม และ พล.ต.วีรชน “สึคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) และในส่วนกฏหมายที่เกี่ยวข้องอธิบาย เพราะที่ผ่านมาบางทีในบางประเด็นเป็นเรื่องข้อกฏหมายที่ต้องมีการอธิบายความให้เข้าใจ เช่น ทำไมถึงไม่ฟ้องร้องศาล ทำไมถึงใช้อำนาจทางการปกครอง ซึ่งถ้าไปดูในรายละเอียด จะพบว่าอำนาจทางการปกครองนั้นมีกฏหมายรองรับ ถ้ารัฐบาลนี้เพิกเฉยไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเลยต่อกฏหมาย และจะต้องถูกแจ้งว่าละเลยการปฏิบัติตามข้อกฏหมาย และอาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบเสียเอง เพราะมันมีข้อกฏหมายที่เราไม่ทำไม่ได้” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว.