ASTVผู้จัดการรายวัน – “คิวเฮ้าส์” เตรียมยุบบริษัทบลูก หวังสร้างความชัดเจน ลดต้นทุนบริหาร ดึงทุกแบรนด์ขึ้นตรงบริษัทแม่ เผยทำยอดขายแล้ว 5,420 ล้านบาท เผยหลังรัฐประกาศออกมาตรการยอดขายพุ่ง 30% พร้อมส่งลูกค้าให้ ธอส. เกือบ 400 ล้านบาท เชื่อมาตรการดึงอสังหาฯทั้งปีโตกว่า 10%
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ คิวเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาคิวเฮ้าส์ได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยจะยุบบริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม โดยมีการนำแบรนด์ภายใต้การพัฒนาและบริหารของคอนฟิเด้นท์ฯ ซึ่งได้แก่เดอะทรัสต์ และเดอะพ้อยท์ ไปรวมอยู่ในคิวเฮ้าส์ เพื่อลดต้นทุนลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ และทำให้เกิดความชัดเจนการทำตลาดมากขึ้น ซึ่งโครงการที่จะเปิดใหม่หลังจากนี้ จะอยู่ภายใต้การบริหารงานของคิวเฮ้าส์ทั้งหมด
โดยจัดวางตำแหน่งแบรนด์ให้มีความชัดเจน หากเป็นโครงการแนวราบ จะแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ ทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ กัสโต้ ราคา 2-5 ล้านบาท,บ้านแฝด แบรนด์ เดอะทรัสต์ ราคา 3-5 ล้านบาท ,บ้านเดี่ยว แบรนด์ คาซ่า ราคา 3-10 ล้านบาท ,บ้านหรู จะเป็นลัดดารมย์ พฤกษภิรย์ ราคา 20-50 ล้านบาท และบ้านลักซ์ชัวรี่ แบรนด์ คิวเฮ้าส์ ราคา 50-100 ล้านบาท ส่วนประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ แบรนด์เดอะพอยต์ ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท แบรนด์ เดอะทรัสต์ ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท แบรนด์คาซ่า ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์ คิว คอนโด ราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป
ส่วนการปิดตัวของบริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ฯ จะเกิดขึ้นหลังจากโครงการสุดท้ายได้ปิดการขายโครงการแล้ว ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะเน้นการระบายสต๊อกสินค้าที่มีอยู่ในมือออกให้หมด โดยปัจจุบันมีคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขาย 11 โครงการอยู่ในกรุงเทพ-ปริมณฑล 4 โครงการและในต่างจังหวัด 7 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทยังมีคอนโดมิเนียมพร้อมโอนที่สามารถรัฐสิทธิประโยชน์จากมาตรการจากภาครัฐ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยโครงการในกรุงเทพฯ 2 โครงการ เดอะ ทรัสต์ งามวงศ์วาน เหลือขายอยู่ 500 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ,โครงการเดอะทรัสต์ นครปฐม เหลือขาย 200 ห้อง มูลค่า 300 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมี 2 โครงการ คือ เดอะ ทรัสต์ พัทยาใต้ และ เดอะทัสต์ อมตะ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 800 ล้านบาท
“นับจากที่รัฐบาลประกาศออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เพียงสัปดาห์เดียวมีลูกค้าเข้าชมโครงการเพิ่มถึง 50% ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 30% จากปกติขายคอนโดฯสัปดาห์ละ 150 ล้านบาท แต่หลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้เชื่อว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯทั้งปีน่าจะเติบโตได้กว่า 10% จากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 3-5%” นายไพโรจน์ กล่าว
“หลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการบริษัทได้ส่งลูกค้าไปขอสินเชื่อจาก ธอส. กว่า 100 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 300-400 ล้านบาท จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าจะขอสินเชื่อจาก ธอส.เพียง 5% ของพอร์ต ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 2 หลัก และเชื่อว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อจะลดลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะคลายกฎเกณฑ์เพื่อแข่งขันรกับ ธอส.และรักษาฐานลูกค้าเอาไว้” นายไพโรจน์กล่าว
ล่าสุดบริษัทได้เปิดขายโครงการ"เดอะทรัสต์ คอนโด แอช บีทีเอส เอราวัณ" อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคอนโดฯ จำนวน 1,570 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 70,000 บาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าสถานีพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ซึ่งบริษัทได้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการมาแล้ว 9 เดือนมียอดขายแล้ว 1,200 ล้านบาท
นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัท เดอะ คอนฟิเดนซ์ มียอดขายแล้ว 5,420 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายคอนโดฯ 2,360 ล้านบาท และเป็นโครงการแนวราบ 3,050 ล้านบาท ส่วนยอดโอนสามารถทำได้แล้ว 4,480 ล้านบาท คิดเป็น 71% จากเป้าหมายที่วางเอาไว้ 6,300 ล้านบาท
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ คิวเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาคิวเฮ้าส์ได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยจะยุบบริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม โดยมีการนำแบรนด์ภายใต้การพัฒนาและบริหารของคอนฟิเด้นท์ฯ ซึ่งได้แก่เดอะทรัสต์ และเดอะพ้อยท์ ไปรวมอยู่ในคิวเฮ้าส์ เพื่อลดต้นทุนลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ และทำให้เกิดความชัดเจนการทำตลาดมากขึ้น ซึ่งโครงการที่จะเปิดใหม่หลังจากนี้ จะอยู่ภายใต้การบริหารงานของคิวเฮ้าส์ทั้งหมด
โดยจัดวางตำแหน่งแบรนด์ให้มีความชัดเจน หากเป็นโครงการแนวราบ จะแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ ทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ กัสโต้ ราคา 2-5 ล้านบาท,บ้านแฝด แบรนด์ เดอะทรัสต์ ราคา 3-5 ล้านบาท ,บ้านเดี่ยว แบรนด์ คาซ่า ราคา 3-10 ล้านบาท ,บ้านหรู จะเป็นลัดดารมย์ พฤกษภิรย์ ราคา 20-50 ล้านบาท และบ้านลักซ์ชัวรี่ แบรนด์ คิวเฮ้าส์ ราคา 50-100 ล้านบาท ส่วนประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ แบรนด์เดอะพอยต์ ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท แบรนด์ เดอะทรัสต์ ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท แบรนด์คาซ่า ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์ คิว คอนโด ราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป
ส่วนการปิดตัวของบริษัท เดอะ คอนฟิเด้นซ์ฯ จะเกิดขึ้นหลังจากโครงการสุดท้ายได้ปิดการขายโครงการแล้ว ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะเน้นการระบายสต๊อกสินค้าที่มีอยู่ในมือออกให้หมด โดยปัจจุบันมีคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขาย 11 โครงการอยู่ในกรุงเทพ-ปริมณฑล 4 โครงการและในต่างจังหวัด 7 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทยังมีคอนโดมิเนียมพร้อมโอนที่สามารถรัฐสิทธิประโยชน์จากมาตรการจากภาครัฐ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยโครงการในกรุงเทพฯ 2 โครงการ เดอะ ทรัสต์ งามวงศ์วาน เหลือขายอยู่ 500 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ,โครงการเดอะทรัสต์ นครปฐม เหลือขาย 200 ห้อง มูลค่า 300 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมี 2 โครงการ คือ เดอะ ทรัสต์ พัทยาใต้ และ เดอะทัสต์ อมตะ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 800 ล้านบาท
“นับจากที่รัฐบาลประกาศออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เพียงสัปดาห์เดียวมีลูกค้าเข้าชมโครงการเพิ่มถึง 50% ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 30% จากปกติขายคอนโดฯสัปดาห์ละ 150 ล้านบาท แต่หลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้เชื่อว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯทั้งปีน่าจะเติบโตได้กว่า 10% จากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 3-5%” นายไพโรจน์ กล่าว
“หลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการบริษัทได้ส่งลูกค้าไปขอสินเชื่อจาก ธอส. กว่า 100 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 300-400 ล้านบาท จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าจะขอสินเชื่อจาก ธอส.เพียง 5% ของพอร์ต ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 2 หลัก และเชื่อว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อจะลดลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะคลายกฎเกณฑ์เพื่อแข่งขันรกับ ธอส.และรักษาฐานลูกค้าเอาไว้” นายไพโรจน์กล่าว
ล่าสุดบริษัทได้เปิดขายโครงการ"เดอะทรัสต์ คอนโด แอช บีทีเอส เอราวัณ" อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคอนโดฯ จำนวน 1,570 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 70,000 บาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าสถานีพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ซึ่งบริษัทได้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการมาแล้ว 9 เดือนมียอดขายแล้ว 1,200 ล้านบาท
นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัท เดอะ คอนฟิเดนซ์ มียอดขายแล้ว 5,420 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายคอนโดฯ 2,360 ล้านบาท และเป็นโครงการแนวราบ 3,050 ล้านบาท ส่วนยอดโอนสามารถทำได้แล้ว 4,480 ล้านบาท คิดเป็น 71% จากเป้าหมายที่วางเอาไว้ 6,300 ล้านบาท