“หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว ตายประชดป่าช้า 3 ประการนี้ไม่ควรทำ” นี่คือวาทกรรมของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
นัยแห่งคำพูดนี้ตรงไปตรงมา ฟังแล้วได้ความชัดเจนแจ่มแจ้งว่า พฤติกรรม 3 ประการนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้กระทำ และยังเป็นเหตุให้ผู้ที่เป็นที่รักแห่งตนทุกข์ด้วย
ในทางพุทธศาสนาถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาป และตายไปแล้วต้องรับกรรมอันเป็นผลของการกระทำนั้นด้วยการไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี เช่น เป็นอสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาถือว่าการฆ่าตัวตายเอง หรือแม้กระทั่งการจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าตัวเป็นบาป ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ดังปรากฏในตติยปาราชิกกัณฑ์ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ เรือนยอดใกล้กรุงเวสาลี พระองค์ได้ทรงแสดงอสุภกถาคือถ้อยคำที่ปรารภสิ่งไม่สวยงาม สรรเสริญคุณแห่งอสุภะ และคุณแห่งการเจริญอสุภะ การพิจารณาเห็นร่างกายโดยความไม่สวยงามกับคุณแห่งอสุภสมาบัติ (การเข้าฌานมีอสุภะเป็นอารมณ์) โดยปริยายเป็นอันมาก ครั้นแล้วตรัสว่า ทรงประสงค์จะหลีกเร้นอยู่ตามลำพังตลอดถึงเดือนใครๆ ไม่ถึงเข้าเฝ้า เว้นแต่ภิกษุผู้นำอาหารเข้าไปเพียงรูปเดียว
ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติอสุภะภาวนา คือการพิจารณาร่างกายโดยความเป็นของไม่งามก็ความเบื่อหน่าย รังเกียจกายของตนเหมือนชายหนุ่มหญิงสาวที่ชอบการประดับตกแต่งอาบน้ำดำเกล้าแล้วรังเกียจซากศพงู ซากศพสุนัข อันคล้องอยู่ที่คอฉันนั้น เบื่อหน่าย รังเกียจกายของตนอย่างนี้แล้วก็ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่ากันและกันบ้าง เข้าไปหานายมิคลัณฑิกผู้แต่งตัวเหมือนสมณะ จ้างด้วยบาตรจีวรให้ฆ่าบ้าง โดยนัยนี้นายมิคลัณฑิกก็รับจ้างฆ่าภิกษุทั้งหลายวันละหนึ่งรูปบ้าง สองรูปบ้าง สามรูปบ้าง สี่รูปบ้าง ห้ารูปบ้างจนถึงหกสิบรูป
เมื่อครบหกเดือนแล้ว พระพุทธองค์เสด็จกลับจากที่หลีกเร้น และได้ทรงทราบเรื่องนั้นจึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ทรงสั่งสอนอานาปานสติ (คือการทำใจให้ตั้งมั่น โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก) โดยปริยายต่างๆ แล้วทรงปรารภเรื่องภิกษุฆ่าตัวตาย ฆ่ากันและกัน รวมถึงให้ผู้อื่นฆ่า ทรงปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ต่อมาได้ทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า แม้การชักชวนเพื่อให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายก็เป็นปาราชิก
โดยนัยแห่งการบัญญัติสิกขาบทนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การฆ่าตัวเองหรือให้คนอื่นฆ่าตัวเอง หรือกระทั่งการฆ่าผู้อื่น รวมไปถึงการชักชวนให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายเป็นบาป
ถึงแม้ว่าจะมีคำสอนในทางพุทธศาสนาได้ห้ามฆ่าตัวตาย และคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธมามกะ การฆ่าตัวตายในประเทศก็มีอยู่ปีละหลายราย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนฆ่าตัวตายในประเทศ พอจะอนุมานได้ดังนี้
1. ผิดหวังในความรัก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในหมู่วัยรุ่นซึ่งยึดถือความรักเป็นเรื่องจริงจัง และยอมตายเพื่อความรักได้
2. มีความทุกข์เนื่องจากภาระหนี้สินไร้หนทางแก้ไข
3. มีโรคภัยรุมเร้า และไม่อยากอยู่ให้เป็นภาระคนอื่น
4. น้อยใจพ่อแม่หรือคนรอบข้างจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า
ในสาเหตุ 4 ประการนี้ ประเภทที่ 1 และ 2 เกิดขึ้นบ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ และศีลธรรมเสื่อมทราม ทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า
วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมระดับล่างขึ้นมาถึงระดับกลาง จะมีปัญหาการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นบ่อย และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ตามสัดส่วนจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และความรุนแรงของปัญหาอันเป็นสาเหตุแห่งการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้สิน ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ปัญหาผิดหวังในเรื่องความรัก ซึ่งในอดีตเกิดจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองกีดกันเป็นเหตุให้คบหากันในเชิงชู้สาวไม่ได้โดยสะดวก จึงเป็นเหตุให้มีการฆ่าตัวตายประชด
แต่ในปัจจุบันปัญหาผู้ใหญ่กีดกันหมดไปหรือ ถ้าจะมีก็คงน้อยกว่าแต่ก่อน จึงไม่น่าจะเป็นเหตุให้หนุ่มสาวถือเป็นเหตุในการฆ่าตัวตาย แต่ปัญหาสังคมเปิดกว้างทำให้วัยรุ่นคบหากันได้ง่ายและรวดเร็ว จนทำให้การคัดกรองพฤติกรรมแทนกระทำไม่ได้ ประกอบกับเมื่อก่อนการคบหากันระหว่างหนุ่มสาวอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ จึงทำให้พฤติกรรมเกินเลยเกิดขึ้นได้ยาก แต่ยุคนี้หนุ่มสาวคบกันเอง เลือกกันเอง โดยใช้ความถูกใจเป็นตัวกำหนด จึงทำให้อาการเกินเลยเกิดขึ้นในทันทีที่โอกาสอำนวย ดังนั้น โอกาสที่เลิกรากันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ พอกันกับการเริ่มรักกัน และนี่เองคือสาเหตุแห่งความผิดหวังและฆ่าตัวตายของหนุ่มสาวในยุคนี้
2. ปัญหาหนี้สินท่วมหัว และมองไม่เห็นทางออกทำให้คนต้องฆ่าตัวตายในอดีต แทบจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าในอดีตคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทซึ่งเป็นสังคมปฐมภูมิแวดล้อมด้วยญาติและเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์แบบอรูปนัยอย่างแน่นแฟ้น ใครเดือดร้อนเรื่องเงินทองก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยการให้หรือให้ยืมไม่ต้องเสียดอกเบี้ย จะมีการเสียดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อไปหยิบยืมจากนายทุนเงินกู้ แต่ถึงกระนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ไม่แพงจนทำให้ต้องจ่ายเป็นรายวัน ทั้งยังมีการทวงหนี้แบบโหดเหี้ยม ดังเช่นหนี้นอกระบบในปัจจุบันอย่างมากก็แค่นำสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมาใช้แรงงานแทนดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า “ทำงานขัดดอก”
แต่ในปัจจุบันการเป็นหนี้ได้เปลี่ยนไปจากการก่อหนี้ ซึ่งเกิดจากความยากจนไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีเงินสดจึงต้องไปหยิบยืมมากินมาใช้กลายมาเป็นการก่อหนี้เพื่อการลงทุน โดยหวังว่าจะได้กำไรมากพอที่จะเป็นรายได้มาใช้จ่าย และมีส่วนที่เหลือมาจ่ายคืนเงินกู้ทั้งต้นและดอกได้
การก่อหนี้เพื่อการลงทุนจึงเป็นที่นิยมของคนอยากรวย แต่หากโชคร้ายเงินที่กู้ไปทำกิจการขาดทุนโอกาสที่จะหมดตัวเนื่องจากถูกฟ้องร้องก็เกิดขึ้นได้ และนี่เองคือสาเหตุให้คนที่พอจะมีกินแต่อยากรวยต้องฆ่าตัวตายเนื่องจากมีหนี้
ยิ่งกว่านี้ ในยุคปัจจุบันคนจนที่ฟุ้งเฟ้อรายได้ต่ำ รสนิยมสูง ก็เป็นหนี้เพื่อนำเงินมาสนองความต้องการอยากมีและอยากเป็น ทั้งนี้ส่วนใหญ่ที่คนจนก่อจะเป็นหนี้นอกระบบซึ่งดอกเบี้ยแพง และมีการทวงหนี้แบบโหดจึงเป็นเหตุบีบคั้นให้ผู้กู้ฆ่าตัวตายได้
3. ปัญหาโรคซึมเศร้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหมู่คนสูงวัยในอดีตแทบจะไม่มี เนื่องจากครอบครัวไทยโดยรวมเป็นแบบครอบครัวรวมหรือ Joint Family คือมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายายอยู่รวมกันกับลูกหลาน ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายจนกลายเป็นคนซึมเศร้า
แต่ในปัจจุบันครอบครัวคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นครอบครัวเดียว หรือ Single Family จึงทำให้คนแก่โดดเดี่ยวเมื่อลูกหลานแยกกันไปอยู่ต่างหาก ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายได้
โดยสรุปการฆ่าตัวตายเป็นภัยของคนรุ่นใหม่ และนับวันจะยิ่งร้ายแรงยิ่งขึ้นเมื่อวัตถุนิยมและบริโภคนิยมครอบงำ ทำให้คนห่างธรรมะเนื่องจากห่างวัด และห่างพระมากขึ้น สุดท้ายอาจเข้าวัดโดยมีคนหามเข้าไป หรืออย่างดีก็มีรถบรรทุกร่างกายไร้วิญญาณเข้าไปก็อาจเป็นได้
ถ้าเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นจริง การฆ่าตัวตายอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนในสังคมไทยได้ยินได้ฟัง และก็ไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พุทธศาสนาอยู่กับคนไทย แต่มิได้ถูกนำมาแก้ปัญหานี้เท่าที่ควรจะเป็น
นัยแห่งคำพูดนี้ตรงไปตรงมา ฟังแล้วได้ความชัดเจนแจ่มแจ้งว่า พฤติกรรม 3 ประการนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้กระทำ และยังเป็นเหตุให้ผู้ที่เป็นที่รักแห่งตนทุกข์ด้วย
ในทางพุทธศาสนาถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาป และตายไปแล้วต้องรับกรรมอันเป็นผลของการกระทำนั้นด้วยการไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี เช่น เป็นอสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาถือว่าการฆ่าตัวตายเอง หรือแม้กระทั่งการจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าตัวเป็นบาป ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ดังปรากฏในตติยปาราชิกกัณฑ์ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ เรือนยอดใกล้กรุงเวสาลี พระองค์ได้ทรงแสดงอสุภกถาคือถ้อยคำที่ปรารภสิ่งไม่สวยงาม สรรเสริญคุณแห่งอสุภะ และคุณแห่งการเจริญอสุภะ การพิจารณาเห็นร่างกายโดยความไม่สวยงามกับคุณแห่งอสุภสมาบัติ (การเข้าฌานมีอสุภะเป็นอารมณ์) โดยปริยายเป็นอันมาก ครั้นแล้วตรัสว่า ทรงประสงค์จะหลีกเร้นอยู่ตามลำพังตลอดถึงเดือนใครๆ ไม่ถึงเข้าเฝ้า เว้นแต่ภิกษุผู้นำอาหารเข้าไปเพียงรูปเดียว
ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติอสุภะภาวนา คือการพิจารณาร่างกายโดยความเป็นของไม่งามก็ความเบื่อหน่าย รังเกียจกายของตนเหมือนชายหนุ่มหญิงสาวที่ชอบการประดับตกแต่งอาบน้ำดำเกล้าแล้วรังเกียจซากศพงู ซากศพสุนัข อันคล้องอยู่ที่คอฉันนั้น เบื่อหน่าย รังเกียจกายของตนอย่างนี้แล้วก็ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่ากันและกันบ้าง เข้าไปหานายมิคลัณฑิกผู้แต่งตัวเหมือนสมณะ จ้างด้วยบาตรจีวรให้ฆ่าบ้าง โดยนัยนี้นายมิคลัณฑิกก็รับจ้างฆ่าภิกษุทั้งหลายวันละหนึ่งรูปบ้าง สองรูปบ้าง สามรูปบ้าง สี่รูปบ้าง ห้ารูปบ้างจนถึงหกสิบรูป
เมื่อครบหกเดือนแล้ว พระพุทธองค์เสด็จกลับจากที่หลีกเร้น และได้ทรงทราบเรื่องนั้นจึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ทรงสั่งสอนอานาปานสติ (คือการทำใจให้ตั้งมั่น โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก) โดยปริยายต่างๆ แล้วทรงปรารภเรื่องภิกษุฆ่าตัวตาย ฆ่ากันและกัน รวมถึงให้ผู้อื่นฆ่า ทรงปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ต่อมาได้ทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า แม้การชักชวนเพื่อให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายก็เป็นปาราชิก
โดยนัยแห่งการบัญญัติสิกขาบทนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การฆ่าตัวเองหรือให้คนอื่นฆ่าตัวเอง หรือกระทั่งการฆ่าผู้อื่น รวมไปถึงการชักชวนให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายเป็นบาป
ถึงแม้ว่าจะมีคำสอนในทางพุทธศาสนาได้ห้ามฆ่าตัวตาย และคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธมามกะ การฆ่าตัวตายในประเทศก็มีอยู่ปีละหลายราย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนฆ่าตัวตายในประเทศ พอจะอนุมานได้ดังนี้
1. ผิดหวังในความรัก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในหมู่วัยรุ่นซึ่งยึดถือความรักเป็นเรื่องจริงจัง และยอมตายเพื่อความรักได้
2. มีความทุกข์เนื่องจากภาระหนี้สินไร้หนทางแก้ไข
3. มีโรคภัยรุมเร้า และไม่อยากอยู่ให้เป็นภาระคนอื่น
4. น้อยใจพ่อแม่หรือคนรอบข้างจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า
ในสาเหตุ 4 ประการนี้ ประเภทที่ 1 และ 2 เกิดขึ้นบ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ และศีลธรรมเสื่อมทราม ทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า
วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมระดับล่างขึ้นมาถึงระดับกลาง จะมีปัญหาการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นบ่อย และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ตามสัดส่วนจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และความรุนแรงของปัญหาอันเป็นสาเหตุแห่งการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้สิน ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ปัญหาผิดหวังในเรื่องความรัก ซึ่งในอดีตเกิดจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองกีดกันเป็นเหตุให้คบหากันในเชิงชู้สาวไม่ได้โดยสะดวก จึงเป็นเหตุให้มีการฆ่าตัวตายประชด
แต่ในปัจจุบันปัญหาผู้ใหญ่กีดกันหมดไปหรือ ถ้าจะมีก็คงน้อยกว่าแต่ก่อน จึงไม่น่าจะเป็นเหตุให้หนุ่มสาวถือเป็นเหตุในการฆ่าตัวตาย แต่ปัญหาสังคมเปิดกว้างทำให้วัยรุ่นคบหากันได้ง่ายและรวดเร็ว จนทำให้การคัดกรองพฤติกรรมแทนกระทำไม่ได้ ประกอบกับเมื่อก่อนการคบหากันระหว่างหนุ่มสาวอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ จึงทำให้พฤติกรรมเกินเลยเกิดขึ้นได้ยาก แต่ยุคนี้หนุ่มสาวคบกันเอง เลือกกันเอง โดยใช้ความถูกใจเป็นตัวกำหนด จึงทำให้อาการเกินเลยเกิดขึ้นในทันทีที่โอกาสอำนวย ดังนั้น โอกาสที่เลิกรากันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ พอกันกับการเริ่มรักกัน และนี่เองคือสาเหตุแห่งความผิดหวังและฆ่าตัวตายของหนุ่มสาวในยุคนี้
2. ปัญหาหนี้สินท่วมหัว และมองไม่เห็นทางออกทำให้คนต้องฆ่าตัวตายในอดีต แทบจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าในอดีตคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทซึ่งเป็นสังคมปฐมภูมิแวดล้อมด้วยญาติและเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์แบบอรูปนัยอย่างแน่นแฟ้น ใครเดือดร้อนเรื่องเงินทองก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยการให้หรือให้ยืมไม่ต้องเสียดอกเบี้ย จะมีการเสียดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อไปหยิบยืมจากนายทุนเงินกู้ แต่ถึงกระนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ไม่แพงจนทำให้ต้องจ่ายเป็นรายวัน ทั้งยังมีการทวงหนี้แบบโหดเหี้ยม ดังเช่นหนี้นอกระบบในปัจจุบันอย่างมากก็แค่นำสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมาใช้แรงงานแทนดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า “ทำงานขัดดอก”
แต่ในปัจจุบันการเป็นหนี้ได้เปลี่ยนไปจากการก่อหนี้ ซึ่งเกิดจากความยากจนไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีเงินสดจึงต้องไปหยิบยืมมากินมาใช้กลายมาเป็นการก่อหนี้เพื่อการลงทุน โดยหวังว่าจะได้กำไรมากพอที่จะเป็นรายได้มาใช้จ่าย และมีส่วนที่เหลือมาจ่ายคืนเงินกู้ทั้งต้นและดอกได้
การก่อหนี้เพื่อการลงทุนจึงเป็นที่นิยมของคนอยากรวย แต่หากโชคร้ายเงินที่กู้ไปทำกิจการขาดทุนโอกาสที่จะหมดตัวเนื่องจากถูกฟ้องร้องก็เกิดขึ้นได้ และนี่เองคือสาเหตุให้คนที่พอจะมีกินแต่อยากรวยต้องฆ่าตัวตายเนื่องจากมีหนี้
ยิ่งกว่านี้ ในยุคปัจจุบันคนจนที่ฟุ้งเฟ้อรายได้ต่ำ รสนิยมสูง ก็เป็นหนี้เพื่อนำเงินมาสนองความต้องการอยากมีและอยากเป็น ทั้งนี้ส่วนใหญ่ที่คนจนก่อจะเป็นหนี้นอกระบบซึ่งดอกเบี้ยแพง และมีการทวงหนี้แบบโหดจึงเป็นเหตุบีบคั้นให้ผู้กู้ฆ่าตัวตายได้
3. ปัญหาโรคซึมเศร้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหมู่คนสูงวัยในอดีตแทบจะไม่มี เนื่องจากครอบครัวไทยโดยรวมเป็นแบบครอบครัวรวมหรือ Joint Family คือมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายายอยู่รวมกันกับลูกหลาน ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายจนกลายเป็นคนซึมเศร้า
แต่ในปัจจุบันครอบครัวคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นครอบครัวเดียว หรือ Single Family จึงทำให้คนแก่โดดเดี่ยวเมื่อลูกหลานแยกกันไปอยู่ต่างหาก ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายได้
โดยสรุปการฆ่าตัวตายเป็นภัยของคนรุ่นใหม่ และนับวันจะยิ่งร้ายแรงยิ่งขึ้นเมื่อวัตถุนิยมและบริโภคนิยมครอบงำ ทำให้คนห่างธรรมะเนื่องจากห่างวัด และห่างพระมากขึ้น สุดท้ายอาจเข้าวัดโดยมีคนหามเข้าไป หรืออย่างดีก็มีรถบรรทุกร่างกายไร้วิญญาณเข้าไปก็อาจเป็นได้
ถ้าเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นจริง การฆ่าตัวตายอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนในสังคมไทยได้ยินได้ฟัง และก็ไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พุทธศาสนาอยู่กับคนไทย แต่มิได้ถูกนำมาแก้ปัญหานี้เท่าที่ควรจะเป็น