ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี “ชูวิทย์” พร้อมพวก รื้อบาร์เบียร์ สุขุมวิท ซ. 10 ออกไปเป็นวันที่ 28 ม.ค.59 หลังกลับลำขอถอนคำให้การเดิม รับสารภาพตามฟ้องและขอให้ศาลลงโทษสถานเบา พร้อมออกหมายจับ "เสธ.แอ๊ป" กับพวกอีก 7 คน ไม่มาฟังคำสั่งศาล ด้าน "ชูวิทย์" เปิดใจการพูดความจริงทำให้รู้สึกปลดปล่อยมากที่สุด
วานนี้ (15 ต.ค.) เวลาประมาณ 10.30 น. ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาในคดีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท ซอย 10 คดีหมายเลขดำ ที่ ด.2150/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาติ ริมมสาร หรือรัมมะสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546), พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือเสธ.แอ๊ป นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546) และพวกรวม 131 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
โดยโจทก์บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น. วันที่ 26 ม.ค. 2546 มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงและเขตคลองเตย เสียหายราบเป็นหน้ากลอง เนื่องจากกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิม เพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์
ภายหลังตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสิ้นจำนวน 131 คน อาทิ นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ, พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือเสธ.แอ๊ป โดย พ.ต.ธัญเทพ และนายชูวิทย์ ได้เข้ามอบตัวในภายหลัง พนักงานสอบสวนใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานกว่า 2 เดือน จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งฟ้องเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 46 โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 ให้จำคุก 1 ปี นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความนำเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.358, 365 (2) (3) ประกอบ 362, 83 และ 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน แต่ศาลเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 49 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้ยกฟ้อง
ต่อมาในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษากลับว่า นายชูวิทย์ กับพวกอีก 2 คน ที่เป็นนายทหาร มีความผิดจริง จึงสั่งจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนายทหารทั้ง 2 ได้ยื่นเงิน 5 แสนบาทบาท เพื่อประกันตัว ส่วนด้านนายชูวิทย์ ได้ปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ์ การเป็น ส.ส.คุ้มครองในขณะนั้น
นายชูวิทย์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า ได้เดินทางไปทำบุญโลงศพต่อชะตาที่บริเวณโรงทานเจใกล้กับศาลอาญากรุงเทพใต้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่กำหนดชะตาของนายชูวิทย์ ส่วนตัวเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและคดีนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 12 ปีแล้ว พร้อมยืนยันที่ดินผืนดังกล่าวตนเองซื้อมาเอง แต่ล่าช้าเรื่องเอกสาร และยอมรับว่ามีความเครียดอยู่บ้าง และไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเช่นไรก็จะยอมรับ
"ผมก็มีความคาดหวังจากศาลเพราะเดินทางมาโดยรถเบนซ์ก็ไม่อยากกลับรถบัส และผมเองไม่มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยกับ เสธ.หิ และเสธ.แอ๊ป จำเลยร่วมในคดีนี้ และอยากใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนแก่ประชาชน และถ้ามีโอกาสก็อยากจะลงมาเปิดเผยข้อความสำคัญอีกครั้งหลังจากศาลมีคำพิพากษา"
ต่อมา มีรายงานว่า จำเลยที่ยื่นฎีกา 44 คนนั้น เดินทางมาศาลไม่ครบ ศาลจึงสั่งออกหมายจับ พร้อมเลื่อนการอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 14.00 น.วันนี้
เวลา 14.30 น. ศาลได้ออกนั่งบัลลังค์เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน เนื่องจากนายชูวิทย์จำเลยที่ 129 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้ส่งคำร้องของนายชูวิทย์ให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งศาลได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาทางโทรสาร (แฟกซ์) โดยศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน และให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องของนายชูวิทย์ต่อไป ทั้งนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งวันที่ 28 ม.ค.2559 เวลา 09.00 น.
ส่วน พ.ต.ธัญเทพ หรือเสธ.แอ๊ป จำเลยที่ 130 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาเป็นครั้งที่สองแล้ว ศาลได้ให้ออกหมายจับ และปรับนายประกัน เช่นเดียวกับจำเลย 18, 40, 68, 73, 112 และ 115
ภายหลัง นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว การพูดความจริงทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยมากสุด ตนต่อสู้มา 12 ปี สิ่งที่ทำไปในการเป็นนักธุรกิจขณะนั้นก็รู้สึกอึดอัด ตนรับสารภาพยอมรับผิด
"ผมอยากให้ประชาชนดู การทำอะไรไม่เท่ากับการพูดความจริง ผมตรึกตรองมา 2 วัน จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ทำให้รู้สึกยกภูเขาออกจากอก เราสามารถโกหก พ่อแม่ ภรรยาได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ " นายชูวิทย์ ระบุ
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หวังว่าพี่น้องจะเข้าใจและให้โอกาส ส่วนค่าเสียหายตนได้ชดใช้แล้วร่วม 100 ล้านบาท หลังจากนี้ไม่ได้เตรียมตัวอะไร เพียงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ส่วนที่ดินแปลงนี้ ตนซื้อมา 500 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารรับปากจะไล่ที่ให้ ซึ่งความเป็นนักธุรกิจและความโง่เขลาเบาปัญญาและความบีบคั้น จึงทำไป
สำหรับในคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้จากเดิมที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เป็นให้จำคุกนายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย และพ.ต.ธัญเทพ กับพวกรวม 66 ราย คนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
วานนี้ (15 ต.ค.) เวลาประมาณ 10.30 น. ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาในคดีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท ซอย 10 คดีหมายเลขดำ ที่ ด.2150/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาติ ริมมสาร หรือรัมมะสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546), พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือเสธ.แอ๊ป นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546) และพวกรวม 131 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
โดยโจทก์บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น. วันที่ 26 ม.ค. 2546 มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงและเขตคลองเตย เสียหายราบเป็นหน้ากลอง เนื่องจากกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิม เพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์
ภายหลังตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสิ้นจำนวน 131 คน อาทิ นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ, พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือเสธ.แอ๊ป โดย พ.ต.ธัญเทพ และนายชูวิทย์ ได้เข้ามอบตัวในภายหลัง พนักงานสอบสวนใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานกว่า 2 เดือน จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งฟ้องเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 46 โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 ให้จำคุก 1 ปี นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความนำเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.358, 365 (2) (3) ประกอบ 362, 83 และ 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน แต่ศาลเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 49 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้ยกฟ้อง
ต่อมาในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษากลับว่า นายชูวิทย์ กับพวกอีก 2 คน ที่เป็นนายทหาร มีความผิดจริง จึงสั่งจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนายทหารทั้ง 2 ได้ยื่นเงิน 5 แสนบาทบาท เพื่อประกันตัว ส่วนด้านนายชูวิทย์ ได้ปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ์ การเป็น ส.ส.คุ้มครองในขณะนั้น
นายชูวิทย์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า ได้เดินทางไปทำบุญโลงศพต่อชะตาที่บริเวณโรงทานเจใกล้กับศาลอาญากรุงเทพใต้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่กำหนดชะตาของนายชูวิทย์ ส่วนตัวเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและคดีนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 12 ปีแล้ว พร้อมยืนยันที่ดินผืนดังกล่าวตนเองซื้อมาเอง แต่ล่าช้าเรื่องเอกสาร และยอมรับว่ามีความเครียดอยู่บ้าง และไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเช่นไรก็จะยอมรับ
"ผมก็มีความคาดหวังจากศาลเพราะเดินทางมาโดยรถเบนซ์ก็ไม่อยากกลับรถบัส และผมเองไม่มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยกับ เสธ.หิ และเสธ.แอ๊ป จำเลยร่วมในคดีนี้ และอยากใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนแก่ประชาชน และถ้ามีโอกาสก็อยากจะลงมาเปิดเผยข้อความสำคัญอีกครั้งหลังจากศาลมีคำพิพากษา"
ต่อมา มีรายงานว่า จำเลยที่ยื่นฎีกา 44 คนนั้น เดินทางมาศาลไม่ครบ ศาลจึงสั่งออกหมายจับ พร้อมเลื่อนการอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 14.00 น.วันนี้
เวลา 14.30 น. ศาลได้ออกนั่งบัลลังค์เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน เนื่องจากนายชูวิทย์จำเลยที่ 129 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้ส่งคำร้องของนายชูวิทย์ให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งศาลได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาทางโทรสาร (แฟกซ์) โดยศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน และให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องของนายชูวิทย์ต่อไป ทั้งนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งวันที่ 28 ม.ค.2559 เวลา 09.00 น.
ส่วน พ.ต.ธัญเทพ หรือเสธ.แอ๊ป จำเลยที่ 130 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาเป็นครั้งที่สองแล้ว ศาลได้ให้ออกหมายจับ และปรับนายประกัน เช่นเดียวกับจำเลย 18, 40, 68, 73, 112 และ 115
ภายหลัง นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว การพูดความจริงทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยมากสุด ตนต่อสู้มา 12 ปี สิ่งที่ทำไปในการเป็นนักธุรกิจขณะนั้นก็รู้สึกอึดอัด ตนรับสารภาพยอมรับผิด
"ผมอยากให้ประชาชนดู การทำอะไรไม่เท่ากับการพูดความจริง ผมตรึกตรองมา 2 วัน จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ทำให้รู้สึกยกภูเขาออกจากอก เราสามารถโกหก พ่อแม่ ภรรยาได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ " นายชูวิทย์ ระบุ
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หวังว่าพี่น้องจะเข้าใจและให้โอกาส ส่วนค่าเสียหายตนได้ชดใช้แล้วร่วม 100 ล้านบาท หลังจากนี้ไม่ได้เตรียมตัวอะไร เพียงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ส่วนที่ดินแปลงนี้ ตนซื้อมา 500 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารรับปากจะไล่ที่ให้ ซึ่งความเป็นนักธุรกิจและความโง่เขลาเบาปัญญาและความบีบคั้น จึงทำไป
สำหรับในคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้จากเดิมที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เป็นให้จำคุกนายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย และพ.ต.ธัญเทพ กับพวกรวม 66 ราย คนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา