“สราวุธ” รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมและ เลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายเนติบัณฑิตยสภา ให้ความเห็นกรณี “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ขอให้การใหม่
วันนี้ (16 ต.ค.) ความคืบหน้ากรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ ยื่นคำร้องขอรับสารภาพ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลยในคดีรื้อบาร์เบียร์ สุขุมวิทซอย 10 เพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยอ้างว่ารับสารภาพเพราะกระทำลงไปเพราะความไม่รู้และโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้ศาลชั้นต้นต้องนำคำร้องส่งไปศาลฎีกาและศาลฎีกานัดฟังคำสั่งและฟังคำพิพากษาใหม่อีกครั้งเป็นวันที่ 28 ม.ค. 2559 นั้น ทำให้เกิดความสงสัยว่าศาลฎีกาจะแก้คำพิพากษาไปตามที่นายชูวิทย์รับสารภาพหรือไม่
นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายเนติบัณฑิตยสภา ให้ความเห็นว่า การยื่นคำร้องขอรับสารภาพดังกล่าวไม่ใช่การร้องขอแก้ไขคำให้การ เพราะต้องยื่นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และไม่ใช่คำร้องขอถอนฎีกา เพราะถ้าถอนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมเด็ดขาด คือจำเลยต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ แต่คำรับสารภาพดังกล่าวเป็นสิทธิของจำเลยที่จะเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ โดยยื่นเข้ามาในสำนวน และศาลชั้นต้นรับไว้เพื่อส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่งและข้อเท็จจริงเท่าที่ทราบ ศาลฎีกาสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป และให้ให้ส่งสำนวนกับคำพิพากษาศาลฎีกากลับไปศาลฎีกา เพื่อพิจารณาประกอบคำร้องของจำเลย
“เป็นดุลพินิจของศาลฎีกาว่าจะพิจารณาคำร้องเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพหรือไม่ก็ได้ ถ้ารับ ศาลก็เขียนคำพิพากษาใหม่ หรือถ้าไม่รับ และให้อ่านคำพิพากษาไปตามฉบับเดิมก็ได้ เพราะเป็นคำร้องที่เกี่ยวพันกัน ดังนั้นคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนเฉพาะนายชูวิทย์จะแก้หรือจะเป็นไปตามเดิม เป็นเรื่องอนาคตไม่มีใครทราบได้ ดังนั้นต้องรอวันที่ 28 ม.ค. 2559 เพื่อฟังคำสั่งและคำพิพากษาต่อไป” นายสราวุธกล่าว