ช่วงนี้เปิดดูทีวีทีไร ฟังแต่ข่าวเรื่องการเตรียมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฟังๆดูมีแนวโน้มว่าจะร่างแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและรวบรัดโดยไม่มีการทำประชามติด้วย
ฟังไปฟังมา จู่ๆ ผมก็เกิดนึกถึงหนังสือหน้าที่พลเมืองที่เคยเรียนในช่วงมัธยม และคิดถึงคำว่า สิทธิพลเมืองขึ้นมาอย่างแปลกๆ แล้วก็คิดถึงคำว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง อย่างเบลอๆ
สภาปฏิรูปแห่งชาติที่ตั้งโดย คสช.หมดวาระยุบเลิกไปแล้ว หลังจากทิ้งทวนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์แบบผิดความคาดหมายเล็กน้อย พร้อมทั้งทิ้งข้อเสนอแผนการปฏิรูปด้านต่างๆ ให้ คสช.ไปดำเนินการต่อ
การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจึงยังเป็นแค่เอกสาร ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ย้ำหลายครั้งแล้วว่า ถ้ารัฐบาลนี้ทำไม่เสร็จทำไม่ทัน ก็จะส่งมอบต่อให้รัฐบาลต่อไปดำเนินการ ซึ่งฟังแล้วก็ยังงงๆ ว่า ถ้ามีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วยังต้องปฏิรูปต่อ ก็แสดงว่า ไม่ได้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งตามที่ประชาชนคนเป่านกหวีดนับสิบล้านเรียกร้องอย่างนั้นใช่หรือไม่
แล้วก็มีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปอีก 200 คน นัยว่าให้ทำหน้าที่ผลักดันรัฐบาลต่อไปทำการปฏิรูปตามแผนงานที่สภาปฏิรูปแห่งชาตินำเสนอไว้ ใครไม่รู้สึกสับสนเพราะฉลาดหลักแหลมก็ตามทีเถิด พลเมืองสมองทึบอย่างผมและพรรคพวกอีกหลายคนรู้สึกสับสนครับ
ตอนนี้ แม้จะไม่เคยไปยกป้ายร้องขอให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปเหมือนคนอื่นเขา แต่ก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอันใด ยังกัดฟันนั่งเชียร์
การทำดีในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการเริ่มเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามคอร์รัปชัน การเร่งรัดดำเนินคดีฉ้อโกงชาติต่างๆ และการตอบโต้ขบวนการคิดร้ายทำลายชาติทำลายสถาบันแบบตรงไปตรงมา โดยย้ำว่าไม่สามารถปรองดองกับคนทำผิดกฎหมายคนหนีคดีหนีศาลได้ ซึ่งทำให้คนที่รู้ทันระบอบทักษิณและไม่เห็นด้วยกับนโยบายปรองดองแบบไม่ชัดเจนมาแต่ต้น ได้พากันถอนหายใจโล่งอกได้บ้าง
ส่วนการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือจะเลือกตั้งก่อนปฏิรูป หรือเลือกตั้งไปปฏิรูปไป ก็ตามแต่จะคิดอ่านกันเถิด
ประชาชนพลเมืองอย่างเราๆ ก็ทำได้แค่เฝ้าดูมองตากันปริบๆ เท่านั้นเอง
มีเพียงสิ่งหนึ่งที่อยากจะร้องขอตรงนี้ก็คือ ไม่อยากได้ยินนักการเมืองหรือผู้ถืออำนาจรัฐคนใดมาพูดจาลำเลิกหรือทวงบุญคุณกับประชาชน เพราะจะรู้สึกหงุดหงิด และขุ่นเคืองทุกครั้งอย่างบอกไม่ถูก ด้วยคิดแบบเถรตรงว่า เมื่ออาสามาบริหารบ้านเมืองจะโดยการเลือกตั้ง หรือจะมาโดยหนทางอื่นด้วยวิธีการอย่างไรก็ตาม ท่านก็ต่างมีอำนาจรัฐตามกฎหมายเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ควรจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองและพลเมืองเต็มรูปแบบ โดยไม่มีสิทธิอันใดที่จะมาลำเลิกเบิกบุญคุณใดๆ กับประชาชนพลเมืองเลย
หงุดหงิดขุ่นเคืองเข้าทีไร ก็แค่คิดถึง สิทธิพลเมือง และเขียนบทกวีตามที่อยากเขียนอย่างนี้
“สิทธิพลเมือง”
เราต่างเป็นประชาชนพลเมือง
ที่เชื่องเชื่องซื่อซื่อทุกยุคสมัย
ผู้ปกครองต่างมาแล้วต่างไป
ใครเสพสุขใครยากไร้ใครต่างกัน
เราต่างเป็นชาวนาเป็นชาวไร่
ปลูกข้าวปลูกต้นไม้ปลูกปั้น
ต่างอาบเหงื่อต่างน้ำทำกินกัน
ต่างหาวันกินวันกันเรื่อยมา
เราต่างเป็นกรรมกรขายแรงงาน
รับจ้างบริการ เป็นแม่ค้า
ขายกับข้าว ขายผักขายปลา
เป็นลูกจ้างนานาในโรงงาน
เราต่างทำหลากหลายรายรายเรียง
พอเพียงไม่พอเพียงพอพ้นผ่าน
เราต่างอยู่อย่างเรามาเนานาน
เป็นเบี้ยล่างราชการและการเมือง
เราต่างเป็นปวงชนชาวไทย
ที่มีอธิปไตยแบบเชื่องเชื่อง
ยอมผู้นำนำพามาเนืองเนือง
เริ่มมีบ้างที่กระเตื้องที่ตื่นรู้
เราต่างเป็นประชาชนพลเมือง
วันหนึ่งอาจหายเชื่องชวนกันสู้
วันหนึ่งอาจไม่แหยแค่คอยดู
วันหนึ่งอาจฮึดชู สิทธิพลเมือง
ว.แหวนลงยา