“ต่อเวลา” เงื่อนไขปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง อ่อนไหวน่าหวาดเสียว!!

ผ่าประเด็นร้อน

หากจับอาการได้ในเวลานี้ ก็คือ ความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ของบรรดาแกนนำ กปปส. เดิมที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ระหว่างการเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ที่น่าสนใจก็คือ ในเสียงเรียกร้องดังกล่าว “ไม่ได้กำหนดระยะเวลา” เอาไว้ด้วย ซึ่งแบบนี้แหละที่ทำให้หลายคนมองว่านี่คือ “ความหมายแฝง” เพื่อต้องการ “ต่ออายุ” ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้อยู่ในอำนาจต่อไปอีกแบบไม่มีกำหนด ด้วยเหตุผลเพียงว่าให้ทำภารกิจปฏิรูปตามความต้องการของประชาชนให้สำเร็จเสียก่อน

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา หลังจากมีข้อเรียกร้องดังกล่าวออกมา ก็ยังไม่มีใครปฏิเสธแบบเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร โดยย้ำแต่เพียงว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยึดมั่นตามโรดแมปและตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ที่กำหนดเอาไว้

อย่างไรก็ดี การพูดแบบนี้ย่อมไม่ผิด เพราะทำตามโรดแมป ไม่ได้ทำตามใจชอบ ซึ่งหากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งการ “ต่อเวลา” อยู่ต่ออีกพักใหญ่มันก็ทำตามโรดแมปได้เหมือนกัน และด้วยเหตุนี้เองจึงมีคนเสนอให้ “คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีการยกร่างขึ้นมาใหม่ ซึ่งกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 1 - 2 ปี และนี่ก็คืออีกหนึ่ง “โรดแมป” ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว

การที่รัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบ ก็ยังมีอย่างน้อยสองวิธีในเบื้องต้นก็คือ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติผ่านความเห็นชอบจนเดินไปถึงการลงประชามติแล้วมีการรณรงค์กันจน “ไม่ผ่าน” ก็ต้องตกไปแล้วมาเริ่มร่างกันใหม่ หรือว่า ถูกสภาปฏิรูปแห่งชาติโหวตให้ตกไปแล้วเริ่มกระบวนการใหม่ดังกล่าว ดังนั้น การพูดว่ายินดีเดินตามโรดแมป มันถึงเป็นคำพูดที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งมันก็ “ซ่อนเงื่อน” เอาไว้

นั่นเป็นเงื่อนที่ซ่อนเอาไว้ในโรดแมป แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากันในรายละเอียด โดยเฉพาะในประเด็นที่ชี้ให้เห็นใน “อีกซีกหนึ่ง” ที่อธิบายถึงเงื่อนไขให้สามารถ “ต่ออายุ” ได้ หากสังคมเข้าใจ และมีการ “สะกิด” กันขึ้นมารับรองว่า มันเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” อย่างยิ่ง และอาจถูกพวก “หวังดีประสงค์ร้าย” นำไปเป็นเงื่อนไขปลุกระดมเพื่อบิดเบือนทางการเมืองได้ตลอดเวลาเหมือนกัน

แต่ขณะเดียวกัน ในเงื่อนไขที่ว่านั้นมันก็ต้องมี"เงื่อนไขซ้อน พ่วงเข้ามาด้วยถึงจะมีพลัง นั่นคือ “เสียงยี้” หรือศรัทธาเริ่มถดถอย ซึ่งก็ต้องวัดจากความพึงพอใจของชาวบ้านว่าออกมาแบบไหน หากพิจารณาให้แคบเข้ามาอีก ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเขาว่ามีผลงานน่าประทับใจหรือไม่หลังจากบริหารบ้านเมืองภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จมาปีกว่า ถ้าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังประทับใจ ไม่ว่าจะปลุกระดมบิดเบือนอย่างไรก็คงไม่มีผล ตรงกันข้ามมีแต่เสียงเรียกร้องให้อยู่ต่อนาน ๆ

ขณะเดียวกัน ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ประทับใจ เริ่มมีเสียงยี้ดังขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เป็นแรงส่งชั้นดีที่ทำให้การเคลื่อนไหวขับไล่มีพลัง เพราะอย่างที่บอกว่าเรื่องแบบนี้มัน “อ่อนไหว” โดยเฉพาะหากพูดถึงเรื่องการ “ต่ออายุ” และการ “สืบทอดอำนาจ” เรื่องแบบนี้หากปลุกขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นต้องยุ่งแทบทุกที

ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ ความเคลื่อนไหวที่เข้มข้นขึ้นของบรรดาเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด เพราะมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่ยังมีโอกาสหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง แต่หากการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอีก ความหวังก็พลังทลาย และภายใต้เงื่อนไขแบบ “เท่ ๆ” ในเรื่อง “ประชาธิปไตย” มันก็มีสิทธิ์พลิกได้เหมือนกัน เมื่อพิจารณาผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ทั้งในเรื่องผลงานรัฐบาล และเรื่องผลสัมฤทธิ์เรื่องการปฏิรูปที่บอกว่าจะ “ปฏิรูปทุกด้าน” นั้น มีความจริงจังแค่ไหน !!