xs
xsm
sm
md
lg

ศาลปค.ปิดคดีกทม.ซื้อที่ดินตาบอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 3347/2550 ลงวันที่ 13 ก.ย.50 ในส่วนที่ให้ นายประเสริฐ สะมะลาภา อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,842,753.50 บาท กรณีทำให้กรุงเทพมหานคร ต้องจัดซื้อที่ดินในเขตบางซื่อ ด้วยราคาสูงเกินจริง และเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางสาธารณะเข้าออก
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก นายประเสริฐ ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 หลังจากที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการุทจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลว่า การกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำโดยประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง และส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดให้ดำเนินคดีอาญากับ นายพิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าฯ กทม.ขณะนั้น และผู้บริหารกรุงเทพมหานคร อีกหลายราย รวมถึง นายประเสริฐ ในฐานะ รองประธานคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดซื้อ เช่า ที่ดิน และอาคารเพื่อประโยชน์ของราชการกรุงเทพมหานคร (กซช.) กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดินเขตบางซื่อ เมื่อปี 2539-2540 จำนวน 11 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา สูงเกินจริง โดยซื้อในราคา 270 ล้านบาท ทั้งที่เป็นที่ดินที่ไม่ทางสาธารณะเข้าออก ควรซื้อขายในราคา 221,144,930 บาทเท่านั้น และต่อมากรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึงกรุงเทพมหานคร แจ้งว่า ผลจากการซื้อที่ดินราคาสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ราชการเกิดความเสียหาย 48,855,070 บาท แต่เมื่อหักมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง 12 ล้านออกจากค่าเสียหาย คงเหลือค่าเสียหายเป็นเงิน 36,855,070 บาท สมควรให้กรุงเทพมหานคร ออกคสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว กรุงเทพมหานครจึงได้มีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ ซึ่งรวมถึงนายประเสริฐ ที่ตามคำสั่งให้ชดใช้เป็นเงิน 1,842,753.50 บาท นายประเสริฐ เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดเห็นตามศาลปกครองชั้นต้นว่า นายประเสริฐ ไม่จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า นายประเสริฐ ในฐานหนึ่งในคณะกรรมการ กซซ. มีหน้าที่ตามที่ผู้ว่าฯกทม. มอบหมายในการตรวจสอบว่า สถานที่ ทำเล ราคา ที่เสนอขายมีความคุ้มค่าและสมประโยชน์ในการลงทุน และมีความเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะที่ดินกลุ่มที่ 2 ที่ถูกระบุว่า ไม่มีทางเข้า-ออก ควรที่จะตรวจสอบให้ได้ความครบถ้วนก่อนว่า มีสภาพทางเข้าเออกอย่างใด สมประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อหรือไม่ ซึ่งที่ดินไม่มีทางออกสู่สาธารณะ ย่อมมีราคาต่ำกว่าที่ดินที่ติดทางสาธารณะ แต่นายประเสริฐ มิได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบ เท่าที่ควรจะเป็น โดยเสนอคณะผู้บริหารให้มีการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นเงิน 270 ล้านบาททั้งที่ยังไม่มีการตรวจสอบราคาที่ดินที่แท้จริง พฤติการณ์การกระทำของนายประเสริฐ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าว จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเท่าใด เห็นว่า จากข้อเท็จจริง สำนักงานเขตบางซื่อ ได้มีการตรวจเช็คราคาประเมินของที่ดินดังกล่าว จากทั้งสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์ ธนาคารพานิชย์ต่างๆ แล้วให้ข้อมูลตรงกันว่า ที่ดินดังกล่าวในทางธุรกิจ มีความเหมาะสมกับการลงทุน และเมื่อตรวจสอบราคาซื้อขาย ต่อแปลงกับราคาที่ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ในเวลานั้นได้ประเมิน ก็ต่างกันไม่มากเพียงร้อยละ 5 ขณะที่ในการซื้อขายกรุงเทพมหาคร ก็จะได้เนื้อที่ดินส่วนเกินเพิ่มมาด้วย ซึ่งจากสภาพพื้นที่ที่ดินติดต่อกันเป็นผืนเดียว ทั้งผู้ขายประสงค์จะขายที่ดินทั้งหมดเป็นแปลงใหญ่ การจะใช้ราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครเพียงอย่างเดียว จึงไม่สอดคล้องกับราคาที่ซื้อขายตามปกติในท้องตลาด ประกอบกับไม่มีพยาน หลักฐาน ให้รับฟังได้ว่ามีการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใด จากการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว รวมถึงศาลแพ่ง ได้มีคำพิพาษายกฟ้องโจทก์ ที่ฟ้องกรุงเทพมหานครเป็นจำเลย ฐานละเมิดการใช้ที่ดินแปลงที่มีปัญหาการเข้าออก ซึ่งผลคำพิพากษาเป็นการรับรองสิทธิของกรุงเทพมหานคร ในการใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดินแปลงที่มีการฟ้องร้อง ดังนั้น การซื้อที่ดินจำนวน 11 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวาในราคา 270 ล้านบาท จึงเป็นราคาที่เหมาะสมกับสภาพที่ตั้ง และราคาท้องตลาดแล้ว อีกทั้งเมื่อรวมราคาสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน จึงมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าที่กรุงเทพมหานครจ่ายไป ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่า การที่นายประเสริฐ ในฐานะรองประธานกรรมการ กซช. ได้ร่วมพิจารณา และเสนอความเห็นให้จัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวต่อคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครทำให้กรุงเทพมหานครได้รับความเสียหาย กรุงเทพมหานครจึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้นายประเสริฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 12 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ คำสั่งที่ให้นายประเสริฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1,842,753.50 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายืนให้เพิกถอนคำสั่งชดใช้ค่าสินไหมดังกล่าวเฉพาะในส่วนของนายประเสริฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น