วานนี้ (30ก.ย.) เครือข่ายยุติธรรมภาคประชาชนและข้าราชการได้ จัดสัมมนาหัวข้อ"ปลดประธานศาลปกครองสูงสุด ประเด็นร้อนระบบกฎหมายมหาชนของไทย" มีวิทยากรนำอภิปรายประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ พ.ต.ท.หญิงธิฌารัตน์ ณรงค์วิทย์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์สหภาพข้าราชการ และ พล.ต.หญิงพูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด
นายกิตติศักดิ์ ตั้งคำถามว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการศาลปกครอง(ก.ศป.) ในการปลดประธานศาลปกครองสูงสุดนั้น ให้ความคุ้มครองต่อหลักความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองหรือไม่ เพราะกระทบต่อตุลาการศาลปกครองรายอื่นๆ หากถูกกล่าวหาได้ เช่น หากคณะกรรมการสอบสวนเสียงข้างมากเห็นว่า ไม่ผิด แต่ก.ศป. เสียงข้างมากสั่งให้เอาผิดได้ มันชอบด้วยหลักเกณฑ์ทางกฎหมายหรือไม่ อีกปัญหาคือ เมื่อก.ศป.พิจารณาว่า มีมูลจะสั่งพักราชการทันที ทำให้ตุลาการคนนั้นจะไม่สามารถพิจารณาคดีหรือไม่ หากไม่มีหลักการที่ชัดเจน จะกระทบต่อความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีสำคัญทันที
"หากตุลาการบางท่านถูกถ่ายภาพว่าใกล้ชิดสตรีบางคน หรือมีผู้เอากระเช้าดอกไม้มามอบ โดยซ่อนธนบัตรไว้ข้างใต้ หากมีการอ้างว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือรับสินบน ก็จะกลายเป็นเหตุถูกสงสัย แล้วถูกสั่งให้พักราชการได้ทันที ทั้งที่ยังไม่แน่ชัดว่ามีส่วนรู้เห็นในการเรียกรับสินบนหรือไม่ ก็จะทำให้ตุลาการผู้นั้นถูกสลัดพ้นจากการพิจารณาคดีทันที ซึ่งถือว่ากรณีลักษณะนี้ ทำให้เกิดการนำมากลั่นแกล้งกันได้" นายกิตติศักดิ์ กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่โครงสร้างกรรมการก.ศป. มี 13 คน แต่เหลือผู้ที่ลงมติ กรณีให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ออกจากราชการเพียง 6 คน เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่นั้น นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาองค์ประชุมเคยเป็นวิกฤติตุลาการ สมัยปี 2534 มาแล้ว โดยหลักผู้มาประชุมต้องมาเกินกึ่งหนึ่ง และหากผู้มาประชุมมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสีย ก็ต้องงดการเข้าร่วมประชุม แต่กรณีของก.ศป. ไม่มีการกำหนดองค์ประชุมเฉพาะ ซึ่งก็ต้องถือตามหลักปฏิบัติทั่วไป โดยมติ เสียงให้ออกจากราชการ เป็น 6 ใน 7 เสียง ของผู้ที่ร่วมประชุม ซึ่งก็ต้องถือว่า เป็นเสียงข้างมาก โดยตนก็ไม่ได้ติดใจในประเด็นนี้ แต่เห็นว่าประเด็นสำคัญของกรณีที่เกิดขึ้น อยู่ที่ตรงที่การมีมติ และเนื้อหาสาระการให้เหตุผลมันหนักแน่นเพียงพอหรือไม่ รวมทั้งหลักประกันให้ตุลาการมีความเป็นอิสระ ในการพิพากษาคดีมีเพียงพอแล้วหรือไม่
"ผมโต้แย้งว่า การปลดประธานศาลปกครองสูงสุด มีเหตุไม่ปกติหลายอย่าง เช่น ก.ศป. ถือว่ามีอำนาจ พิจารณาโดยไม่ต้องผูกพันกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน ตรงนี้เป็นปัญหา อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นการใช้เสียงข้างมากตามอำเภอใจ แทนการตัดสินโดยใช้หลักฐานหรือหลักเหตุผล ซึ่งจะทำให้ ก.ศป. สามารถเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาคดีได้เสมอโดยไม่ต้องฟังเสียงข้างมากของคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ ทั้งที่ตามระเบียบสอบสวนของ ก.ศป. และสิทธิของตุลาการผู้ถูกกล่าวหา กำหนดไว้ในข้อ 8 วรรคสาม ว่า การลงมติของกรรมการสอบสวน ให้ถือเสียงข้างมาก แสดงว่า ระเบียบฯ มีเจตนาให้ยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก แม้กรรรมการเสียงข้างน้อย จะมีความเห็นแย้งก็ไม่ใช่มติของคณะกรรมการสอบสวน และไม่อาจนับเป็นผลการสอบสวนได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งไม่ได้กระทบต่อประธานศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น แต่กระทบต่อตุลาการศาลปกครองทั้งหมด"
** ก.ศป.ทำตัวเหมือนหมาป่ากับลูกแกะ
นอกจากนี้ การกล่าวหาว่า ข้าราชการทำผิดวินัย ใช้ให้ลูกน้องไปทำผิด แปลว่า จะต้องสั่งไว้ก่อน แต่หากลูกน้องทำผิดแล้วมาสารภาพว่าได้ทำผิดแล้ว เจ้านายรับรู้ ตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว ลงโทษตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนไปแล้ว จะมากล่าวหาว่า เจ้านายทำผิดฐานใช้ให้ลูกน้องไปทำ คณะกรรมการสอบสวนสอบสวนแล้วว่า ไม่มีหลักฐานว่าได้ใช้ แต่ผู้พิจารณากลับระบุว่า ถึงไม่ได้ใช้ แต่มีส่วนรู้เห็น และลงโทษให้เจ้านายมีความผิด ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็นก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ให้ลูกน้องไปทำ ทั้งที่รู้เห็นภายหลัง ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ผิดสังเกตอย่างหนึ่ง
"คำสั่งก.ศป. ที่ออกมาระบุว่า แม้ไม่ปรากฏชัดว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้มอบหมายให้เลขาธิการไปวิ่งเต้นให้นายตำรวจ แต่อ้างพยานหลักฐาน ซึ่งเห็นว่า มีส่วนรับทราบ และรู้เห็นเป็นใจนั้น เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัย มันกลายเป็นตัดสินว่า แม้เขาไม่ได้กระทำผิด แต่เราเชื่อว่าคุณผิด มันจะเข้าข่ายหมาป่ากับลูกแกะ ที่ว่าแม้ลูกแกะไม่ได้ทำให้น้ำขุ่น แต่พ่อของลูกแกะเป็นผู้ที่ทำให้น้ำขุ่น ก็ต้องถือว่าผิด เรื่องนี้หากไม่ทำให้เกิดความกระจ่าง ก็น่าเป็นห่วงว่า จะไปเกิดกับตุลาการที่รักษาความยุติธรรมของประชาชนรายอื่นๆ ได้ ประชาชนจึงควรมีส่วนร่วม เรียกร้องให้เกิดความกระจ่างในกรณีนี้" นักกฎหมายมหาชน ผู้นี้กล่าว
นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อก.ศป.ไม่ชี้ตามเหตุผลของกรรมการสอบสวนเสียงข้างมาก ก็ต้องมีการชี้แจงหักล้างให้สิ้นสงสัย การอ้างเพียงว่า มติคณะกรรมการสอบสวนไม่ผูกพันกับก.ศป. ตรงนี้ก็เป็นปัญหา เพราะไปทำลายน้ำหนักของระเบียบสอบสวนของก.ศป. ที่มุ่งคุ้มครองสิทธิ์ของตุลาการที่ถูกร้องเรียน ขัดต่อหลักการคุ้มครองความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ ทั้งที่ศาลปกครองต้ององค์กรที่สำคัญที่สุดในการผู้คุ้มครองและสั่งการให้ทบทวนการใช้อำนาจโดยมิชอบที่ประชาชนตกเป็นผู้ถูกกระทำ
ด้าน พล.ต.หญิงพูนศรี กล่าวว่าไม่ว่าข้าราชการผู้ใดถูกกระทำอย่างผิดปรกติ ทางสมาคมฯ จะมีหน้าที่ทำหนังสือทักท้วงในกรณีของประธานศาลปกครองสูงสุดนั้น เราพบว่าควรจะต้องสอบสวนว่า ท่านเป็นผู้เขียนจดหมายน้อยนั้นจริงหรือไม่ แต่เมื่อมีคนรับผิดไปแล้ว ท่านก็น่าจะพ้นผิด โดยหลักผู้ถูกสั่งพักราชการ ก็ต้องถูกสอบสวนให้เห็นผลใน 30 วัน แต่ก็ปรากฏว่า มียืดเยื้อถึง 180 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ และเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาผิดก็ไม่น่าจะลงโทษเขาได้ เพราะไม่เป็นธรรมกับข้าราชการผู้นั้น
"ไม่อย่างนั้นใครจะมาแกล้งกัน มันจะทำได้ง่าย แล้วมันเป็นธรรมหรือไม่ และความเป็นจริงในสังคมไทย การฝากให้ช่วยดูแลมันหนักถึงขนาดต้องให้ออกจากราชการหรือไม่ ? "
**"หัสวุฒิ"ซัดก.ศป.ใช้อำนาจนอกกม.
ด้านนายหัสวุฒิ กล่าวว่า มติของ ก.ศป. เป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมาย เพราะความเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อย ไม่ใช่มติของคณะกรรมการสอบสวน แต่ ก.ศป. กลับมีการเปลี่ยนข้อกล่าวหา และพิจารณาความผิดเอง ซึ่งความผิดของตน จึงไม่ได้มีการสอบสวน ถือเป็นการชี้ความผิดตนนอกกฎหมาย และยืนยันว่าจะใช้สิทธิตามช่องทางกฎหมายในการต่อสู้เรื่องนี้ เพื่อเป็นการคงหลักการว่า บ้านเมืองต้องปกครองด้วยกฎหมาย แต่ไม่สามารถจะเปิดเผยว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งคงจะไม่ใช่เป็นการไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะเท่ากับว่าจะเป็นการไปยื่นมีดให้เขามาเชือดคอตน
ทั้งนี้ นายหัสวุฒิ ยังได้นำเอกสารบันทึกการให้ถ้อยคำของ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง กับคณะกรรมการสอบสวนมาเปิดเผย เพื่อยืนยันว่าตามถ้อยคำที่นายดิเรกฤทธิ์ ให้การระบุชัดว่า ตนเองไมได้รู้ก่อน หรือสั่งการให้นายดิเรกฤทธิ์ ทำจดหมาย 2 ฉบับ ไปสนับสนุนนายตำรวจ รวมทั้งระบุว่า ตอนที่ยังไม่ถูกสั่งพักราชการ มีความพยายามที่จะให้ตนเอา นายดิเรกฤทธิ์ ออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติว่า นายดิเรกฤทธิ์ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ก็พยายามที่จะเล่นงาน นายดิเรกฤทธิ์ เรื่องขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของก.ศป. ที่ไม่บรรจุวาระการประชุมก.ศป. เพื่อพิจาณาสั่งพักราชการตน
"มีการไปบอกกับนายดิเรกฤทธิ์ ว่า ถ้ายอมลาออก ก็จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องขัดขวางการปฏิบัติงาน นายดิเรกฤทธิ์ ก็ยอมยื่นหนังสือลาออก แต่มันไม่มีสัจจะ ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย นายดิเรกฤทธิ์ รวมทั้งยังมีการข่มขู่ นายดิเรกฤทธิ์ ไม่ให้มาช่วยผม ถ้ามาช่วย ก็จะเล่นงานในเรื่องอื่นๆ อีก ที่ผ่านมาผมแถลงข่าว 2 ครั้ง ที่สำนักงานศาลปกครอง ก็มีคำสั่งห้าม นักข่าว ช่างภาพ ไปทำข่าว โดยเอาข้อกำหนดประธานศาลปกครองสูงสุดเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล 2552 มาขู่ จนการแถลงข่าวครั้งที่ 3 ผม ต้องไปแถลงข้างนอก เพราะ เขาบอกว่า ถ้ายังไม่หยุดจะเล่นงานเจ้าหน้าที่ และเวลานี้ก็มีการให้ศาลปกครองชั้นต้น ศึกษาว่าที่ผมแถลงนั้น เป็นการละเมิดต่ออำนาจศาลหรือไม่ ซึ่งก็เอาเลย ถ้าลุแก่อำนาจพิจารณาแล้วสั่งขังผมเลย แต่กลับไปอ่าน บทละเมิดอำนาจศาลเสียใหม่ เพราะที่ผมวิจารณ์ ไม่ได้การพิจารณาคดีของศาล แต่วิจารณ์การบริหารงานของ ก.ศป. ในฐานะฝ่ายบริหาร" นายหัสวุฒิ กล่าว
นายกิตติศักดิ์ ตั้งคำถามว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการศาลปกครอง(ก.ศป.) ในการปลดประธานศาลปกครองสูงสุดนั้น ให้ความคุ้มครองต่อหลักความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองหรือไม่ เพราะกระทบต่อตุลาการศาลปกครองรายอื่นๆ หากถูกกล่าวหาได้ เช่น หากคณะกรรมการสอบสวนเสียงข้างมากเห็นว่า ไม่ผิด แต่ก.ศป. เสียงข้างมากสั่งให้เอาผิดได้ มันชอบด้วยหลักเกณฑ์ทางกฎหมายหรือไม่ อีกปัญหาคือ เมื่อก.ศป.พิจารณาว่า มีมูลจะสั่งพักราชการทันที ทำให้ตุลาการคนนั้นจะไม่สามารถพิจารณาคดีหรือไม่ หากไม่มีหลักการที่ชัดเจน จะกระทบต่อความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีสำคัญทันที
"หากตุลาการบางท่านถูกถ่ายภาพว่าใกล้ชิดสตรีบางคน หรือมีผู้เอากระเช้าดอกไม้มามอบ โดยซ่อนธนบัตรไว้ข้างใต้ หากมีการอ้างว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือรับสินบน ก็จะกลายเป็นเหตุถูกสงสัย แล้วถูกสั่งให้พักราชการได้ทันที ทั้งที่ยังไม่แน่ชัดว่ามีส่วนรู้เห็นในการเรียกรับสินบนหรือไม่ ก็จะทำให้ตุลาการผู้นั้นถูกสลัดพ้นจากการพิจารณาคดีทันที ซึ่งถือว่ากรณีลักษณะนี้ ทำให้เกิดการนำมากลั่นแกล้งกันได้" นายกิตติศักดิ์ กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่โครงสร้างกรรมการก.ศป. มี 13 คน แต่เหลือผู้ที่ลงมติ กรณีให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ออกจากราชการเพียง 6 คน เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่นั้น นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาองค์ประชุมเคยเป็นวิกฤติตุลาการ สมัยปี 2534 มาแล้ว โดยหลักผู้มาประชุมต้องมาเกินกึ่งหนึ่ง และหากผู้มาประชุมมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสีย ก็ต้องงดการเข้าร่วมประชุม แต่กรณีของก.ศป. ไม่มีการกำหนดองค์ประชุมเฉพาะ ซึ่งก็ต้องถือตามหลักปฏิบัติทั่วไป โดยมติ เสียงให้ออกจากราชการ เป็น 6 ใน 7 เสียง ของผู้ที่ร่วมประชุม ซึ่งก็ต้องถือว่า เป็นเสียงข้างมาก โดยตนก็ไม่ได้ติดใจในประเด็นนี้ แต่เห็นว่าประเด็นสำคัญของกรณีที่เกิดขึ้น อยู่ที่ตรงที่การมีมติ และเนื้อหาสาระการให้เหตุผลมันหนักแน่นเพียงพอหรือไม่ รวมทั้งหลักประกันให้ตุลาการมีความเป็นอิสระ ในการพิพากษาคดีมีเพียงพอแล้วหรือไม่
"ผมโต้แย้งว่า การปลดประธานศาลปกครองสูงสุด มีเหตุไม่ปกติหลายอย่าง เช่น ก.ศป. ถือว่ามีอำนาจ พิจารณาโดยไม่ต้องผูกพันกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน ตรงนี้เป็นปัญหา อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นการใช้เสียงข้างมากตามอำเภอใจ แทนการตัดสินโดยใช้หลักฐานหรือหลักเหตุผล ซึ่งจะทำให้ ก.ศป. สามารถเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาคดีได้เสมอโดยไม่ต้องฟังเสียงข้างมากของคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ ทั้งที่ตามระเบียบสอบสวนของ ก.ศป. และสิทธิของตุลาการผู้ถูกกล่าวหา กำหนดไว้ในข้อ 8 วรรคสาม ว่า การลงมติของกรรมการสอบสวน ให้ถือเสียงข้างมาก แสดงว่า ระเบียบฯ มีเจตนาให้ยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก แม้กรรรมการเสียงข้างน้อย จะมีความเห็นแย้งก็ไม่ใช่มติของคณะกรรมการสอบสวน และไม่อาจนับเป็นผลการสอบสวนได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งไม่ได้กระทบต่อประธานศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น แต่กระทบต่อตุลาการศาลปกครองทั้งหมด"
** ก.ศป.ทำตัวเหมือนหมาป่ากับลูกแกะ
นอกจากนี้ การกล่าวหาว่า ข้าราชการทำผิดวินัย ใช้ให้ลูกน้องไปทำผิด แปลว่า จะต้องสั่งไว้ก่อน แต่หากลูกน้องทำผิดแล้วมาสารภาพว่าได้ทำผิดแล้ว เจ้านายรับรู้ ตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว ลงโทษตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนไปแล้ว จะมากล่าวหาว่า เจ้านายทำผิดฐานใช้ให้ลูกน้องไปทำ คณะกรรมการสอบสวนสอบสวนแล้วว่า ไม่มีหลักฐานว่าได้ใช้ แต่ผู้พิจารณากลับระบุว่า ถึงไม่ได้ใช้ แต่มีส่วนรู้เห็น และลงโทษให้เจ้านายมีความผิด ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็นก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ให้ลูกน้องไปทำ ทั้งที่รู้เห็นภายหลัง ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ผิดสังเกตอย่างหนึ่ง
"คำสั่งก.ศป. ที่ออกมาระบุว่า แม้ไม่ปรากฏชัดว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้มอบหมายให้เลขาธิการไปวิ่งเต้นให้นายตำรวจ แต่อ้างพยานหลักฐาน ซึ่งเห็นว่า มีส่วนรับทราบ และรู้เห็นเป็นใจนั้น เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัย มันกลายเป็นตัดสินว่า แม้เขาไม่ได้กระทำผิด แต่เราเชื่อว่าคุณผิด มันจะเข้าข่ายหมาป่ากับลูกแกะ ที่ว่าแม้ลูกแกะไม่ได้ทำให้น้ำขุ่น แต่พ่อของลูกแกะเป็นผู้ที่ทำให้น้ำขุ่น ก็ต้องถือว่าผิด เรื่องนี้หากไม่ทำให้เกิดความกระจ่าง ก็น่าเป็นห่วงว่า จะไปเกิดกับตุลาการที่รักษาความยุติธรรมของประชาชนรายอื่นๆ ได้ ประชาชนจึงควรมีส่วนร่วม เรียกร้องให้เกิดความกระจ่างในกรณีนี้" นักกฎหมายมหาชน ผู้นี้กล่าว
นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อก.ศป.ไม่ชี้ตามเหตุผลของกรรมการสอบสวนเสียงข้างมาก ก็ต้องมีการชี้แจงหักล้างให้สิ้นสงสัย การอ้างเพียงว่า มติคณะกรรมการสอบสวนไม่ผูกพันกับก.ศป. ตรงนี้ก็เป็นปัญหา เพราะไปทำลายน้ำหนักของระเบียบสอบสวนของก.ศป. ที่มุ่งคุ้มครองสิทธิ์ของตุลาการที่ถูกร้องเรียน ขัดต่อหลักการคุ้มครองความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ ทั้งที่ศาลปกครองต้ององค์กรที่สำคัญที่สุดในการผู้คุ้มครองและสั่งการให้ทบทวนการใช้อำนาจโดยมิชอบที่ประชาชนตกเป็นผู้ถูกกระทำ
ด้าน พล.ต.หญิงพูนศรี กล่าวว่าไม่ว่าข้าราชการผู้ใดถูกกระทำอย่างผิดปรกติ ทางสมาคมฯ จะมีหน้าที่ทำหนังสือทักท้วงในกรณีของประธานศาลปกครองสูงสุดนั้น เราพบว่าควรจะต้องสอบสวนว่า ท่านเป็นผู้เขียนจดหมายน้อยนั้นจริงหรือไม่ แต่เมื่อมีคนรับผิดไปแล้ว ท่านก็น่าจะพ้นผิด โดยหลักผู้ถูกสั่งพักราชการ ก็ต้องถูกสอบสวนให้เห็นผลใน 30 วัน แต่ก็ปรากฏว่า มียืดเยื้อถึง 180 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ และเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาผิดก็ไม่น่าจะลงโทษเขาได้ เพราะไม่เป็นธรรมกับข้าราชการผู้นั้น
"ไม่อย่างนั้นใครจะมาแกล้งกัน มันจะทำได้ง่าย แล้วมันเป็นธรรมหรือไม่ และความเป็นจริงในสังคมไทย การฝากให้ช่วยดูแลมันหนักถึงขนาดต้องให้ออกจากราชการหรือไม่ ? "
**"หัสวุฒิ"ซัดก.ศป.ใช้อำนาจนอกกม.
ด้านนายหัสวุฒิ กล่าวว่า มติของ ก.ศป. เป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมาย เพราะความเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อย ไม่ใช่มติของคณะกรรมการสอบสวน แต่ ก.ศป. กลับมีการเปลี่ยนข้อกล่าวหา และพิจารณาความผิดเอง ซึ่งความผิดของตน จึงไม่ได้มีการสอบสวน ถือเป็นการชี้ความผิดตนนอกกฎหมาย และยืนยันว่าจะใช้สิทธิตามช่องทางกฎหมายในการต่อสู้เรื่องนี้ เพื่อเป็นการคงหลักการว่า บ้านเมืองต้องปกครองด้วยกฎหมาย แต่ไม่สามารถจะเปิดเผยว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งคงจะไม่ใช่เป็นการไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะเท่ากับว่าจะเป็นการไปยื่นมีดให้เขามาเชือดคอตน
ทั้งนี้ นายหัสวุฒิ ยังได้นำเอกสารบันทึกการให้ถ้อยคำของ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง กับคณะกรรมการสอบสวนมาเปิดเผย เพื่อยืนยันว่าตามถ้อยคำที่นายดิเรกฤทธิ์ ให้การระบุชัดว่า ตนเองไมได้รู้ก่อน หรือสั่งการให้นายดิเรกฤทธิ์ ทำจดหมาย 2 ฉบับ ไปสนับสนุนนายตำรวจ รวมทั้งระบุว่า ตอนที่ยังไม่ถูกสั่งพักราชการ มีความพยายามที่จะให้ตนเอา นายดิเรกฤทธิ์ ออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติว่า นายดิเรกฤทธิ์ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ก็พยายามที่จะเล่นงาน นายดิเรกฤทธิ์ เรื่องขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของก.ศป. ที่ไม่บรรจุวาระการประชุมก.ศป. เพื่อพิจาณาสั่งพักราชการตน
"มีการไปบอกกับนายดิเรกฤทธิ์ ว่า ถ้ายอมลาออก ก็จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องขัดขวางการปฏิบัติงาน นายดิเรกฤทธิ์ ก็ยอมยื่นหนังสือลาออก แต่มันไม่มีสัจจะ ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย นายดิเรกฤทธิ์ รวมทั้งยังมีการข่มขู่ นายดิเรกฤทธิ์ ไม่ให้มาช่วยผม ถ้ามาช่วย ก็จะเล่นงานในเรื่องอื่นๆ อีก ที่ผ่านมาผมแถลงข่าว 2 ครั้ง ที่สำนักงานศาลปกครอง ก็มีคำสั่งห้าม นักข่าว ช่างภาพ ไปทำข่าว โดยเอาข้อกำหนดประธานศาลปกครองสูงสุดเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล 2552 มาขู่ จนการแถลงข่าวครั้งที่ 3 ผม ต้องไปแถลงข้างนอก เพราะ เขาบอกว่า ถ้ายังไม่หยุดจะเล่นงานเจ้าหน้าที่ และเวลานี้ก็มีการให้ศาลปกครองชั้นต้น ศึกษาว่าที่ผมแถลงนั้น เป็นการละเมิดต่ออำนาจศาลหรือไม่ ซึ่งก็เอาเลย ถ้าลุแก่อำนาจพิจารณาแล้วสั่งขังผมเลย แต่กลับไปอ่าน บทละเมิดอำนาจศาลเสียใหม่ เพราะที่ผมวิจารณ์ ไม่ได้การพิจารณาคดีของศาล แต่วิจารณ์การบริหารงานของ ก.ศป. ในฐานะฝ่ายบริหาร" นายหัสวุฒิ กล่าว