โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
ผมมีโรคประจำตัวหลายโรค หนึ่งในนั้นคือ... “ความดันโลหิตสูง” ไปหาหมอแต่ละครั้ง ต้องวัดความดันถึง 2-3 ครั้ง แล้วหมอก็ให้ยาลดความดันมาร่วมเกือบสิบปีแล้ว
วันหนึ่งผมโทร.หาเพื่อนหมอ ถามเกี่ยวกับโรคความดัน หมอตอบกลับมาว่า... “ความดันของนาย มันไม่ใช่ดันธรรมดา ยาหมอเอาไม่อยู่หรอก เพราะมันเป็นดันพิเศษ คือ ดันทุรัง”
เออ...คงจะจริงอย่างหมอว่า เพราะผมก็เป็นอย่างผม ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ อาจจะฟังอยู่แต่ไม่ยอมทำตาม ถ้ามันไม่ถูกต้อง
จะฟังจะตามได้อย่างไร? อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงแห่งหนึ่ง เสนอไอเดียแก้ปัญหาคนชั่วคนโกงว่า ก่อนทำงานทุกเช้า ควรจะพากันสวดมนต์ทำสมาธิ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกปักรักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดจากคนชั่วคนโกง ให้มีแต่คนดีได้ปกครองบ้านเมือง...อะไรประมาณนั้นว้าว...อะไรมันจะง่ายปานนั้น อย่างนี้ก็มีด้วย ไม่ใช่แต่ผมหรอก ใครๆ เขาก็ดันทุรังทั้งนั้น ถ้าเจอไอเดียกระฉูดตกยุคเยี่ยงนี้
สุขกายสุขใจ
คำว่า “สุขกาย” คือสภาพความเป็นไปของร่างกายที่ปราศจากโรคภัย หรือสภาพที่มีความสุขนั่นเอง เวลานอนป่วยที่โรงพยาบาล คุณหมอชอบทดสอบเกี่ยวกับสุขภาพดี 8 อ.มีอะไรบ้าง ก็ตอบคุณหมอไปครบบ้าง ไม่ครบบ้าง
ทบทวนหน่อยนะครับ สุขภาพดี 8 อ.ได้แก่...
1. อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
2. อารมณ์ (ทำให้จิตสงบ ไม่วิตก ไม่อารมณ์เสีย)
3. อาหาร (กินอาหารที่สมดุล เน้นพืชผัก ฤทธิ์ร้อน-เย็น ทำสมดุลกับร่างกาย)
4. ออกกำลังกาย (ตามวัย ตามภาวะ อยู่ในชีวิตประจำวัน มีตักน้ำ ซักผ้า ปัดกวาดบ้าน เดิน)
5. อากาศ (อากาศดีๆ บริสุทธิ์แบบชนบท ต้นไม้ ดอกไม้ แบบปลูกลงทุนต่ำๆ)
6. เอนกาย (ที่นอนแบบง่ายๆ นอนเพียงพอ)
7. เอาพิษออก (ไล่พิษแบบต่างๆ ให้ออกจากร่างกาย)
8. อาชีวะ (จงทำงาน อย่าทำเป็นคนว่างงาน จะเฉาตาย)
นี่คือ 8 อ.เพื่อสุขภาพนำมาใช้ในการเสริมสร้างให้สุขภาพดีของหมอเขียว (ใจเพชรกล้าจน โรงพยาบาลอำนาจเจริญ)
8 อ.ของหมอเขียว เป็นที่รู้จักกันดีและแพร่หลาย ผมขอเพิ่มให้อีก 1 อ. เป็น 9 อ. คือ “อริยสัจ 4” ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่ทำให้คนกลายเป็นอริยะ พูดง่ายๆ ก็คือ “ทำให้คนพ้นทุกข์” นั่นเอง
สุขภาพดี ก็คือสุขภาพที่มีความสุข หรือไม่มีทุกข์ มิใช่หรือ?
แล้วลืม “อริยสัจ 4” ซึ่งเป็นหัวใจ หรือแก่นชีวิตของมนุษย์ไปได้อย่างไร?
อะไรๆ ก็ตาม ถ้าลืมแก่น หรือไม่มีแก่น มีแต่เปลือก แล้วจะดำรงชีพอยู่ได้ไฉน?
ชีวิตประกอบด้วยสองส่วน คือกายกับใจ การออกกำลังต้องให้ครบทั้งสองส่วน คือออกกำลังกายด้วยกายเคลื่อนไหว ออกกำลังใจด้วยใจหยุดนิ่ง
การปฏิบัติธรรม ก็ทำให้ครบทั้งสองส่วน คือ ดูกายเคลื่อนไหว ดูใจนึกคิด
ชีวิตที่ปกติ คือชีวิตที่ให้ความสำคัญทั้งสองส่วน การให้ความสำคัญเพียงส่วนเดียว คือชีวิตที่ผิดปกติ
ผ่องใสชีวิต
ชีวิตที่ผ่องใส คือชีวิตที่สุกใสบริสุทธิ์ ชีวิตไม่บริสุทธิ์เหมือนน้ำขุ่น ชีวิตบริสุทธิ์เหมือนน้ำใส น้ำขุ่นมองไม่เห็นสิ่งใต้น้ำ น้ำใสมองเห็นสิ่งใต้น้ำ
ดังนั้น ชีวิตบริสุทธิ์จึงมองเห็นความจริงของสรรพสิ่ง ขณะที่ชีวิตไม่บริสุทธิ์มองไม่เห็นความจริง มองเห็นแต่สิ่งหลอกลวง จึงตกเป็นเหยื่อของคนไม่บริสุทธิ์ด้วยกัน
อย่างเงินหมู่บ้านละล้าน ที่กำลังแจกกันอยู่ทุกวันนี้ บางหมู่บ้านก็เอา บางหมู่บ้านก็ไม่เอา หมู่บ้านที่เอาไม่ได้คิดอะไรมาก มีเงินมาโดยไม่เสียดอก ส่งคืนภายในสองปี ก็เอามันเลย จะใช้คืนอย่างไรยังไม่คิด ส่วนหมู่บ้านที่ไม่เอา เขามีผู้ใหญ่บ้านที่มีวิสัยทัศน์ ทุกวันนี้ลูกบ้านก็มีหนี้บนบ่าแทบจะแบกไม่ไหวอยู่แล้ว ไยจะต้องเพิ่มหนี้อีกเล่า หากไม่มีเงินส่งคืน บ้าน ที่ดินถูกยึด แล้วลูกหลานจะอยู่อย่างไร ที่รัฐบอกว่าให้เงินไปลงทุนจะได้มีรายได้เพิ่ม ลงทุนอะไร? เรื่องค้าขายเล็กๆ น้อยๆ มันขุดรากถอนโคนไปนานแล้ว ร้านค้าเหลืออยู่เฉพาะของนายทุนใหญ่ เช่น เซเว่น โลตัส เป็นต้น ความปรารถนาดีของรัฐก็คงคืนกลับไปเป็นของนายทุนใหญ่อีกนั่นแหละ
สิ่งเดียวกัน มองเห็นต่างกัน คนหม่นหมองมองเห็นเป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่คนผ่องใส มองเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาครับไม่ใช่เรื่องขัดแย้งอะไร
ตัวเองลิขิต
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนลิขิตเอง ล้วนทำเองทั้งนั้น ผู้มีปัญญาทำเอง-ได้ผลเอง ขณะที่ผู้มีปัญญาน้อย ทำเองไม่ค่อยเป็น จึงมักทำตามคำสั่ง (ซึ่งก็ทำเองอยู่ดี) ผลที่เกิดขึ้น ตนเองไม่ได้รับ แต่กลับตกไปเป็นของคนสั่ง
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” เป็นหัวใจหรือความจริงของสรรพสิ่ง เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เราไม่ค่อยส่งเสริมกัน กลัวคนจะพึ่งตนเองได้ แล้วหาคนมาเป็นขี้ข้าม้าครอกไม่ได้ อย่างนั้นกระมัง?
เราเกลียดความเป็นทาส พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาสแล้ว แต่พวกเราไม่น้อยทีเดียว ทั้งมีความรู้น้อย ความรู้มาก มีอำนาจวาสนา ตำแหน่งใหญ่โต ยังมีความคิดและการกระทำเยี่ยงทาสอยู่เลยกลายเป็นผองทาสที่ปล่อยไม่ไป สร้างความอะเมซิ่งแก่คนในชาติและต่างชาติยิ่งนัก
นี่ใกล้จะเปิดบ้านเปิดเมืองให้ต่างชาติเข้ามาทำมาหากินอย่างเสรี แย่งอาชีพคนไทยอย่างเอิกเกริก ในนาม AEC หรือสมาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะยังไม่เปิด ต่างชาติก็เต็มบ้านเต็มเมือง เมืองไทยหรือเปล่าเนี่ย! ถ้าเปิดแล้วจะขนาดไหน ไม่อยากดู หดหู่หัวใจ ใครกันแน่ที่มันจะได้ประโยชน์ คนไทยที่เป็นคนยากจน และมนุษย์เงินเดือนจะได้อะไร? ถามหน่อย ทรัพย์สมบัติของชาติที่มีอยู่ทั้งบนดิน ใต้ดิน ใต้ทะเล เก็บไว้ให้ลูกหลานเป็นไหม? เดือดร้อนอะไรนักหนา ชอบนักสัมปทานเหมือนให้เขาเปล่า อุปมาอุปมัยเหมือนมีวัวอยู่เต็มคอก เจ้าของอยากกินลาบวัว ป่าวประกาศให้คนมาฆ่าให้หน่อย เขาฆ่าเสร็จขนเนื้อไปหมดเหลือไว้แต่กองขี้วัว แล้วทำลาบมาให้หนึ่งจาน พร้อมเศษกระดูกสองสามชิ้น เจ้าของวัวก็พอใจ แซบหลาย คนฆ่าดีหลาย มีบุญคุณหลาย มาฆ่าให้กินเป็นประจำเด้อ ท่านผู้เจริญ...เช่นนั้นหรือ?
วิสิฐดีงาม
เกิดมาเป็นคน มีความดีงาม หรือมีคุณความดีอะไรบ้าง ทุกคนย่อมรู้ตัวดี และทุกคนย่อมรู้จักปฏิบัติเหมือนๆ กัน คือ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่สิ่งธรรมดานั้น เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพื่อให้ความดีงาม ดีเลิศประเสริฐศรียิ่งๆ ขึ้นไป หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านสอนว่า...
“เหนือชั่วคือดี เหนือดีคือ “ว่าง”
เหนือบาปคือบุญ เหนือบุญคือ “ว่าง”
เหนือทุกข์คือสุข เหนือสุขคือ “ว่าง”
“ว่าง” ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง รบกวนแต่ประการใด
เพราะว่าไม่มี “ตัวกู” ไม่มี “ของกู”
อยู่เหนือสิ่งยั่วยวนล่อหลอกทั้งหลาย
ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งใดๆ
ก็ไม่เป็นทุกข์”
สาธุๆๆ นี่คือความดีงามระดับ “ปัญญา” สุขกาย สุขใจ อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงจุดสูงสุดคือ ปัญญา คือคนที่มีปัญญา มหาชนซึ่งเป็นคนจน จะต้องหายจน จะต้องไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จะต้องสุขกายสุขใจ ผลประโยชน์ทั้งหลาย ต้องตกเป็นของชาติ 90% ไม่ใช่ต่างชาติ ไม่ใช่ฝรั่งหัวแดงหัวดำ ประโยชน์ที่พวกนี้ได้ต้องไม่เกิน 10%
ประเทศไทยเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ เป็นครัวโลก บัดนี้สารพิษจากการทำเหมืองแร่ เช่น เหมืองทองคำ เป็นต้น กำลังทำลายครัวโลกให้กลายเป็นครัวสารพิษโลก แล้วสุขกายสุขใจจะเหลือหรือ?
ช้างตามทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ก็รู้ว่ามันปิดไม่อยู่ ยังทำดันทุรังอยู่ ความดันสายไหน? สายสัมมา หรือสายมิจฉา ถ้าให้ตอบ สัมมาทั้งนั้นแหละ แต่การกระทำกลายเป็นมิจฉาอย่างหน้าตาเฉย
จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือ นิพพาน จุดมุ่งหมายของมนุษย์ก็คือนิพพานเช่นกัน เพียงแต่เรียกไม่เหมือนกัน เข้าใจไม่เหมือนกัน แต่ที่เรียกเหมือนกัน และเข้าใจเหมือนกันคือ “สุขอย่างยิ่ง”
อะไรคือสุขอย่างยิ่ง?
“นิพพานํ ปรมํ สุขํ-นิพพานคือสุขอย่างยิ่ง”
รู้ว่านิพพานคือสุขอย่างยิ่ง แต่กลับไม่สนใจ ไม่ส่งเสริม ไม่สอนกันให้รู้แจ้งแทงตลอด บางคนกลับบอกว่า มันล้าสมัย ไม่มีแล้ว เป็นของสูง ไม่ควรนำมาพูด ไม่ควรนำมาสอน เป็นเรื่องเหลือวิสัย ฯลฯ
ประเด็นนี้ ต้องให้...หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ วิสัชนาให้ฟัง...
“เอาละเลิกกันทีนะ เลิกว่านิพพานนี้เหลือวิสัย นิพพานไม่มีประโยชน์ นิพพานจืดชืด นิพพานต้องรอเข้าโลง หมื่นหนแสนหน นี่เลิกซะ”
“เอาเป็นนิพพานที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ก็จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีนิพพานได้จริง มีพุทธศาสนาจริง คือมีนิพพาน เป็นพุทธบริษัทจริง คือรู้เรื่องนิพพาน”
“นิพพานคือตายเสียก่อนตาย ทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้”
“หมั่นเจริญสติ ให้รู้เท่าทันกิเลส ให้สม่ำเสมอแล้ว ย่อมเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด”
สาธุ...เจริญสติ รู้เท่าทันกิเลส ย่อมเข้าถึงนิพพาน เข้าถึงความสุข
“สุขกายสุขใจ
ผ่องใสชีวิต
ตัวเองลิขิต
วิสิฐดีงาม”
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ-สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ-นิพพานคือสุขอย่างยิ่ง
นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ-นิพพานคือว่างอย่างยิ่ง
พุทธวจนะ 3 คาถา คือ มรรคาสู่สุข ที่ทุกคนควรดู ก็จะรู้ จะเห็น และเป็นสุข ด้วยตัวของเราเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
ผมมีโรคประจำตัวหลายโรค หนึ่งในนั้นคือ... “ความดันโลหิตสูง” ไปหาหมอแต่ละครั้ง ต้องวัดความดันถึง 2-3 ครั้ง แล้วหมอก็ให้ยาลดความดันมาร่วมเกือบสิบปีแล้ว
วันหนึ่งผมโทร.หาเพื่อนหมอ ถามเกี่ยวกับโรคความดัน หมอตอบกลับมาว่า... “ความดันของนาย มันไม่ใช่ดันธรรมดา ยาหมอเอาไม่อยู่หรอก เพราะมันเป็นดันพิเศษ คือ ดันทุรัง”
เออ...คงจะจริงอย่างหมอว่า เพราะผมก็เป็นอย่างผม ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ อาจจะฟังอยู่แต่ไม่ยอมทำตาม ถ้ามันไม่ถูกต้อง
จะฟังจะตามได้อย่างไร? อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงแห่งหนึ่ง เสนอไอเดียแก้ปัญหาคนชั่วคนโกงว่า ก่อนทำงานทุกเช้า ควรจะพากันสวดมนต์ทำสมาธิ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกปักรักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดจากคนชั่วคนโกง ให้มีแต่คนดีได้ปกครองบ้านเมือง...อะไรประมาณนั้นว้าว...อะไรมันจะง่ายปานนั้น อย่างนี้ก็มีด้วย ไม่ใช่แต่ผมหรอก ใครๆ เขาก็ดันทุรังทั้งนั้น ถ้าเจอไอเดียกระฉูดตกยุคเยี่ยงนี้
สุขกายสุขใจ
คำว่า “สุขกาย” คือสภาพความเป็นไปของร่างกายที่ปราศจากโรคภัย หรือสภาพที่มีความสุขนั่นเอง เวลานอนป่วยที่โรงพยาบาล คุณหมอชอบทดสอบเกี่ยวกับสุขภาพดี 8 อ.มีอะไรบ้าง ก็ตอบคุณหมอไปครบบ้าง ไม่ครบบ้าง
ทบทวนหน่อยนะครับ สุขภาพดี 8 อ.ได้แก่...
1. อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
2. อารมณ์ (ทำให้จิตสงบ ไม่วิตก ไม่อารมณ์เสีย)
3. อาหาร (กินอาหารที่สมดุล เน้นพืชผัก ฤทธิ์ร้อน-เย็น ทำสมดุลกับร่างกาย)
4. ออกกำลังกาย (ตามวัย ตามภาวะ อยู่ในชีวิตประจำวัน มีตักน้ำ ซักผ้า ปัดกวาดบ้าน เดิน)
5. อากาศ (อากาศดีๆ บริสุทธิ์แบบชนบท ต้นไม้ ดอกไม้ แบบปลูกลงทุนต่ำๆ)
6. เอนกาย (ที่นอนแบบง่ายๆ นอนเพียงพอ)
7. เอาพิษออก (ไล่พิษแบบต่างๆ ให้ออกจากร่างกาย)
8. อาชีวะ (จงทำงาน อย่าทำเป็นคนว่างงาน จะเฉาตาย)
นี่คือ 8 อ.เพื่อสุขภาพนำมาใช้ในการเสริมสร้างให้สุขภาพดีของหมอเขียว (ใจเพชรกล้าจน โรงพยาบาลอำนาจเจริญ)
8 อ.ของหมอเขียว เป็นที่รู้จักกันดีและแพร่หลาย ผมขอเพิ่มให้อีก 1 อ. เป็น 9 อ. คือ “อริยสัจ 4” ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่ทำให้คนกลายเป็นอริยะ พูดง่ายๆ ก็คือ “ทำให้คนพ้นทุกข์” นั่นเอง
สุขภาพดี ก็คือสุขภาพที่มีความสุข หรือไม่มีทุกข์ มิใช่หรือ?
แล้วลืม “อริยสัจ 4” ซึ่งเป็นหัวใจ หรือแก่นชีวิตของมนุษย์ไปได้อย่างไร?
อะไรๆ ก็ตาม ถ้าลืมแก่น หรือไม่มีแก่น มีแต่เปลือก แล้วจะดำรงชีพอยู่ได้ไฉน?
ชีวิตประกอบด้วยสองส่วน คือกายกับใจ การออกกำลังต้องให้ครบทั้งสองส่วน คือออกกำลังกายด้วยกายเคลื่อนไหว ออกกำลังใจด้วยใจหยุดนิ่ง
การปฏิบัติธรรม ก็ทำให้ครบทั้งสองส่วน คือ ดูกายเคลื่อนไหว ดูใจนึกคิด
ชีวิตที่ปกติ คือชีวิตที่ให้ความสำคัญทั้งสองส่วน การให้ความสำคัญเพียงส่วนเดียว คือชีวิตที่ผิดปกติ
ผ่องใสชีวิต
ชีวิตที่ผ่องใส คือชีวิตที่สุกใสบริสุทธิ์ ชีวิตไม่บริสุทธิ์เหมือนน้ำขุ่น ชีวิตบริสุทธิ์เหมือนน้ำใส น้ำขุ่นมองไม่เห็นสิ่งใต้น้ำ น้ำใสมองเห็นสิ่งใต้น้ำ
ดังนั้น ชีวิตบริสุทธิ์จึงมองเห็นความจริงของสรรพสิ่ง ขณะที่ชีวิตไม่บริสุทธิ์มองไม่เห็นความจริง มองเห็นแต่สิ่งหลอกลวง จึงตกเป็นเหยื่อของคนไม่บริสุทธิ์ด้วยกัน
อย่างเงินหมู่บ้านละล้าน ที่กำลังแจกกันอยู่ทุกวันนี้ บางหมู่บ้านก็เอา บางหมู่บ้านก็ไม่เอา หมู่บ้านที่เอาไม่ได้คิดอะไรมาก มีเงินมาโดยไม่เสียดอก ส่งคืนภายในสองปี ก็เอามันเลย จะใช้คืนอย่างไรยังไม่คิด ส่วนหมู่บ้านที่ไม่เอา เขามีผู้ใหญ่บ้านที่มีวิสัยทัศน์ ทุกวันนี้ลูกบ้านก็มีหนี้บนบ่าแทบจะแบกไม่ไหวอยู่แล้ว ไยจะต้องเพิ่มหนี้อีกเล่า หากไม่มีเงินส่งคืน บ้าน ที่ดินถูกยึด แล้วลูกหลานจะอยู่อย่างไร ที่รัฐบอกว่าให้เงินไปลงทุนจะได้มีรายได้เพิ่ม ลงทุนอะไร? เรื่องค้าขายเล็กๆ น้อยๆ มันขุดรากถอนโคนไปนานแล้ว ร้านค้าเหลืออยู่เฉพาะของนายทุนใหญ่ เช่น เซเว่น โลตัส เป็นต้น ความปรารถนาดีของรัฐก็คงคืนกลับไปเป็นของนายทุนใหญ่อีกนั่นแหละ
สิ่งเดียวกัน มองเห็นต่างกัน คนหม่นหมองมองเห็นเป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่คนผ่องใส มองเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาครับไม่ใช่เรื่องขัดแย้งอะไร
ตัวเองลิขิต
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนลิขิตเอง ล้วนทำเองทั้งนั้น ผู้มีปัญญาทำเอง-ได้ผลเอง ขณะที่ผู้มีปัญญาน้อย ทำเองไม่ค่อยเป็น จึงมักทำตามคำสั่ง (ซึ่งก็ทำเองอยู่ดี) ผลที่เกิดขึ้น ตนเองไม่ได้รับ แต่กลับตกไปเป็นของคนสั่ง
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” เป็นหัวใจหรือความจริงของสรรพสิ่ง เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เราไม่ค่อยส่งเสริมกัน กลัวคนจะพึ่งตนเองได้ แล้วหาคนมาเป็นขี้ข้าม้าครอกไม่ได้ อย่างนั้นกระมัง?
เราเกลียดความเป็นทาส พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาสแล้ว แต่พวกเราไม่น้อยทีเดียว ทั้งมีความรู้น้อย ความรู้มาก มีอำนาจวาสนา ตำแหน่งใหญ่โต ยังมีความคิดและการกระทำเยี่ยงทาสอยู่เลยกลายเป็นผองทาสที่ปล่อยไม่ไป สร้างความอะเมซิ่งแก่คนในชาติและต่างชาติยิ่งนัก
นี่ใกล้จะเปิดบ้านเปิดเมืองให้ต่างชาติเข้ามาทำมาหากินอย่างเสรี แย่งอาชีพคนไทยอย่างเอิกเกริก ในนาม AEC หรือสมาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะยังไม่เปิด ต่างชาติก็เต็มบ้านเต็มเมือง เมืองไทยหรือเปล่าเนี่ย! ถ้าเปิดแล้วจะขนาดไหน ไม่อยากดู หดหู่หัวใจ ใครกันแน่ที่มันจะได้ประโยชน์ คนไทยที่เป็นคนยากจน และมนุษย์เงินเดือนจะได้อะไร? ถามหน่อย ทรัพย์สมบัติของชาติที่มีอยู่ทั้งบนดิน ใต้ดิน ใต้ทะเล เก็บไว้ให้ลูกหลานเป็นไหม? เดือดร้อนอะไรนักหนา ชอบนักสัมปทานเหมือนให้เขาเปล่า อุปมาอุปมัยเหมือนมีวัวอยู่เต็มคอก เจ้าของอยากกินลาบวัว ป่าวประกาศให้คนมาฆ่าให้หน่อย เขาฆ่าเสร็จขนเนื้อไปหมดเหลือไว้แต่กองขี้วัว แล้วทำลาบมาให้หนึ่งจาน พร้อมเศษกระดูกสองสามชิ้น เจ้าของวัวก็พอใจ แซบหลาย คนฆ่าดีหลาย มีบุญคุณหลาย มาฆ่าให้กินเป็นประจำเด้อ ท่านผู้เจริญ...เช่นนั้นหรือ?
วิสิฐดีงาม
เกิดมาเป็นคน มีความดีงาม หรือมีคุณความดีอะไรบ้าง ทุกคนย่อมรู้ตัวดี และทุกคนย่อมรู้จักปฏิบัติเหมือนๆ กัน คือ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่สิ่งธรรมดานั้น เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพื่อให้ความดีงาม ดีเลิศประเสริฐศรียิ่งๆ ขึ้นไป หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านสอนว่า...
“เหนือชั่วคือดี เหนือดีคือ “ว่าง”
เหนือบาปคือบุญ เหนือบุญคือ “ว่าง”
เหนือทุกข์คือสุข เหนือสุขคือ “ว่าง”
“ว่าง” ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง รบกวนแต่ประการใด
เพราะว่าไม่มี “ตัวกู” ไม่มี “ของกู”
อยู่เหนือสิ่งยั่วยวนล่อหลอกทั้งหลาย
ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งใดๆ
ก็ไม่เป็นทุกข์”
สาธุๆๆ นี่คือความดีงามระดับ “ปัญญา” สุขกาย สุขใจ อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงจุดสูงสุดคือ ปัญญา คือคนที่มีปัญญา มหาชนซึ่งเป็นคนจน จะต้องหายจน จะต้องไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จะต้องสุขกายสุขใจ ผลประโยชน์ทั้งหลาย ต้องตกเป็นของชาติ 90% ไม่ใช่ต่างชาติ ไม่ใช่ฝรั่งหัวแดงหัวดำ ประโยชน์ที่พวกนี้ได้ต้องไม่เกิน 10%
ประเทศไทยเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ เป็นครัวโลก บัดนี้สารพิษจากการทำเหมืองแร่ เช่น เหมืองทองคำ เป็นต้น กำลังทำลายครัวโลกให้กลายเป็นครัวสารพิษโลก แล้วสุขกายสุขใจจะเหลือหรือ?
ช้างตามทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ก็รู้ว่ามันปิดไม่อยู่ ยังทำดันทุรังอยู่ ความดันสายไหน? สายสัมมา หรือสายมิจฉา ถ้าให้ตอบ สัมมาทั้งนั้นแหละ แต่การกระทำกลายเป็นมิจฉาอย่างหน้าตาเฉย
จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือ นิพพาน จุดมุ่งหมายของมนุษย์ก็คือนิพพานเช่นกัน เพียงแต่เรียกไม่เหมือนกัน เข้าใจไม่เหมือนกัน แต่ที่เรียกเหมือนกัน และเข้าใจเหมือนกันคือ “สุขอย่างยิ่ง”
อะไรคือสุขอย่างยิ่ง?
“นิพพานํ ปรมํ สุขํ-นิพพานคือสุขอย่างยิ่ง”
รู้ว่านิพพานคือสุขอย่างยิ่ง แต่กลับไม่สนใจ ไม่ส่งเสริม ไม่สอนกันให้รู้แจ้งแทงตลอด บางคนกลับบอกว่า มันล้าสมัย ไม่มีแล้ว เป็นของสูง ไม่ควรนำมาพูด ไม่ควรนำมาสอน เป็นเรื่องเหลือวิสัย ฯลฯ
ประเด็นนี้ ต้องให้...หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ วิสัชนาให้ฟัง...
“เอาละเลิกกันทีนะ เลิกว่านิพพานนี้เหลือวิสัย นิพพานไม่มีประโยชน์ นิพพานจืดชืด นิพพานต้องรอเข้าโลง หมื่นหนแสนหน นี่เลิกซะ”
“เอาเป็นนิพพานที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ก็จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีนิพพานได้จริง มีพุทธศาสนาจริง คือมีนิพพาน เป็นพุทธบริษัทจริง คือรู้เรื่องนิพพาน”
“นิพพานคือตายเสียก่อนตาย ทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้”
“หมั่นเจริญสติ ให้รู้เท่าทันกิเลส ให้สม่ำเสมอแล้ว ย่อมเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด”
สาธุ...เจริญสติ รู้เท่าทันกิเลส ย่อมเข้าถึงนิพพาน เข้าถึงความสุข
“สุขกายสุขใจ
ผ่องใสชีวิต
ตัวเองลิขิต
วิสิฐดีงาม”
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ-สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ-นิพพานคือสุขอย่างยิ่ง
นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ-นิพพานคือว่างอย่างยิ่ง
พุทธวจนะ 3 คาถา คือ มรรคาสู่สุข ที่ทุกคนควรดู ก็จะรู้ จะเห็น และเป็นสุข ด้วยตัวของเราเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งของตน