นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ออกมาใช้ถ้อยคำรุนแรงตอบโต้สื่อต่างชาติ ที่วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจ ว่า อยากให้ใจเย็น ซึ่งตนเห็นใจว่า ทุกคนที่ทำงานย่อมมีแรงกดดัน คนที่ตั้งใจดี เมื่อถูกวิจารณ์ก็หงุดหงิดได้ แต่ต้องช่วยกันว่าสังคมเปิด ต้องยอมรับความเห็นต่าง หมดยุคผูกขาดความถูกต้องอยู่ที่ตัวเอง หรือคิดเพียงว่า ตั้งใจดี แล้วคนอื่นวิจารณ์ไม่ได้ ส่วนเรื่องใส่ร้ายป้ายสี หรือมีอะไรแอบแฝง ก็ว่าไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เห็นว่ามาตรการเศรษฐกิจที่ออกมาช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ยังมีภาวะเศรษฐกิจหลายปัจจัยเป็นตัวถ่วงอยู่ การกระตุ้นกำลังซื้อมาถูกทางแล้ว แต่ต้องดูว่าเพียงพอหรือไม่
อดีตนายกฯ ยังเตือนให้ระวังเรื่องหนี้ครัวเรือน วินัยการเงิน การทุจริต หรือความไม่โปร่งใส จากเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และอยากให้รัฐบาลชัดเจนว่า ถ้าไม่ให้ชาวนาทำนา เพราะไม่มีน้ำ ต้องมีโครงการทดแทนว่า จะให้เขามีรายได้อย่างไร ส่วนการก่อหนี้รัฐที่มีข่าวว่า จะออกกฎหมายกู้เงิน 7.2 แสนล้านบาท อยากให้ระวัง และคิดให้ดี เพราะภาวะหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือนอยู่ในภาวะที่ไม่ควรวางใจ หากจะใช้เงินก้อนใหญ่ควรจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปัจจุบันมีรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องกู้เงิน ตนอยากให้เอาจริงเอาจังกับทางเลือกอื่น เช่น การร่วมทุน หรือให้เอกชนเข้ามาทำ จะเป็นหลักประกันที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของประเทศ เช่น โครงการรถไฟไทย-จีน ตนก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า จะเป็นการกู้เงินทั้งหมดหรือไม่ เพราะยังมีการเจรจากันอยู่ ถ้าเลือกได้ อยากให้กลับไปสู่การร่วมทุน เพราะหากกู้ เรารับหนี้มาเต็มๆ ขาดทุน ก็รับหมด แต่ถ้าร่วมทุน ภาระไม่ได้อยู่กับเราคนเดียว และเรายังได้ประโยชน์จากประสบการณ์บริหารรถไฟด้วย อีกทั้งเส้นทางนี้ต้องเชื่อมกันหมด จึงเสนอให้เป็นการร่วมทุน และเจรจา 3 ประเทศ ระหว่าง ลาว จีน ไทย จะดีที่สุด
อดีตนายกฯ ยังเตือนให้ระวังเรื่องหนี้ครัวเรือน วินัยการเงิน การทุจริต หรือความไม่โปร่งใส จากเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และอยากให้รัฐบาลชัดเจนว่า ถ้าไม่ให้ชาวนาทำนา เพราะไม่มีน้ำ ต้องมีโครงการทดแทนว่า จะให้เขามีรายได้อย่างไร ส่วนการก่อหนี้รัฐที่มีข่าวว่า จะออกกฎหมายกู้เงิน 7.2 แสนล้านบาท อยากให้ระวัง และคิดให้ดี เพราะภาวะหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือนอยู่ในภาวะที่ไม่ควรวางใจ หากจะใช้เงินก้อนใหญ่ควรจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปัจจุบันมีรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องกู้เงิน ตนอยากให้เอาจริงเอาจังกับทางเลือกอื่น เช่น การร่วมทุน หรือให้เอกชนเข้ามาทำ จะเป็นหลักประกันที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของประเทศ เช่น โครงการรถไฟไทย-จีน ตนก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า จะเป็นการกู้เงินทั้งหมดหรือไม่ เพราะยังมีการเจรจากันอยู่ ถ้าเลือกได้ อยากให้กลับไปสู่การร่วมทุน เพราะหากกู้ เรารับหนี้มาเต็มๆ ขาดทุน ก็รับหมด แต่ถ้าร่วมทุน ภาระไม่ได้อยู่กับเราคนเดียว และเรายังได้ประโยชน์จากประสบการณ์บริหารรถไฟด้วย อีกทั้งเส้นทางนี้ต้องเชื่อมกันหมด จึงเสนอให้เป็นการร่วมทุน และเจรจา 3 ประเทศ ระหว่าง ลาว จีน ไทย จะดีที่สุด