xs
xsm
sm
md
lg

อย่าเติมยาพิษให้ประชาชน

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

การถอดยศของทักษิณ ชินวัตรเป็นสิ่งที่ต้องทำนานแล้ว ตั้งแต่หลังที่ทักษิณถูกคำพิพากษาให้จำคุกแล้วหนีไป แต่อิทธิพลและบารมีของทักษิณทำให้ไม่มีใครกล้าทำ แม้กระทั่งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทิดสุเทพ เทือกสุบรรณ คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่กล้า พูดตรงๆ ตอนนั้นเพราะยังไม่คิดว่า จะหักกันจริงๆ คิดว่ายังคุยกันได้

จนมาถึงการยึดอำนาจรัฐบาลของทักษิณอีกครั้ง

ท่าทีแรกๆ หลังยึดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็คือการพยายามแสดงตัวว่า ตัวเองเป็นตัวกลางระหว่างความขัดแย้งในสังคมไทยไม่เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้แต่ทักษิณเองก็บอกลิ่วล้อให้ความร่วมมือกับ คสช. จนกระทั่งเสียงเซ็งแซ่ครหาจากคลิปถั่งเช่าดังขึ้น แล้วสถานการณ์ค่อยๆ พัฒนามาเป็นความขัดแย้งที่ชัดเจนขึ้นกับฝ่ายทักษิณ กระทั่งนำมาสู่การถอดยศในที่สุด

ถึงตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์กับฝ่ายทักษิณมาสู่การเผชิญหน้ากันอย่างชัดเจนแล้ว

แต่ถามว่า ทักษิณเดือดร้อนไหมจากการถูกถอดยศ โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าทักษิณก็คงจะโกรธร้อนรุ่มดังไฟสุมทรวง แต่ถ้าถามว่าการถอดยศสั่นคลอนระบอบทักษิณหรือไม่ ผมเชื่อว่าไม่เลย

เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงชื่นชมระบอบทักษิณที่หยิบยื่นประชาธิปไตยที่กินได้ให้กับเขา โดยไม่ได้ใส่ใจว่า สิ่งที่กินเข้าไปนั้นค่อยสะสมเป็นพิษในร่างกายเหมือนตายผ่อนส่ง ทักษิณเลยกลายเป็นเหมือนเทพองค์ใหม่ที่พวกเขาบูชา วันไหนการเลือกตั้งกลับมาคนเหล่านั้นก็ยังคงไปเลือกพรรคของทักษิณอีก

แล้วอะไรที่จะเปลี่ยนความคิดของมวลชนที่ศรัทธาทักษิณ คำตอบก็คือ ต้องทำให้มวลชนที่บูชาทักษิณเห็นว่าสิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นประโยชน์ให้ประชาชนนั้นเป็นเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น แต่จะเป็นภาระของประชาชนในระยะยาว ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นให้นั้นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ทักษิณกอบโกยไป นั่นคือเอาเงินของประเทศซึ่งเป็นเงินของประชาชนนั่นแหละไปให้ประชาชนและเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เขาเอาไปเท่านั้นเอง

ดังนั้น การเลียนแบบระบอบทักษิณเพื่อเสนอนโยบายประชานิยมซื้อใจประชาชนจึงไม่ใช่สิ่งถูกต้อง แต่เป็นการเติมยาพิษให้กับประชาชนไม่ต่างกับที่ทักษิณทำ ถ้าสิ่งที่ทักษิณทำถูกต้องเราจะเสียแรงไล่ทักษิณกันไปทำไม

ระบอบทักษิณขับเคลื่อนมวลชนด้วยนโยบายประชานิยมที่เราเรียกในเวลาต่อมาว่า ทักษิโณมิกส์ ทักษิณทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเขาหยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับประชาชน พากันไปลงคะแนนให้กับพรรคของทักษิณอย่างท่วมท้น

แต่นโยบายประชานิยมก็ส่งผลดีในระยะสั้นเท่านั้น แต่ส่งผลเสียในระยะยาว ไม่ตอบโจทย์เรื่องสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ส่งผลต่อภาวะการคลังของประเทศทำให้รัฐมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น เช่น กองทุนหมู่บ้านที่ให้ประชาชนกู้ยืมเพื่อให้เอาเงินมาใช้จ่ายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจกลายเป็นหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น นโยบายจำนำข้าวที่มีการกำหนดราคาสูงกว่าตลาดทำให้อุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบพังครืน หรือนโยบายรถคันแรกที่กระตุ้นให้ประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น ฯลฯ

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องสู้กับทักษิณก็คือ ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจถึงผลเสียของนโยบายประชานิยม ชี้ให้เห็นว่า นโยบายประชานิยมจะส่งผลต่อภาวะการเงินของประเทศในอนาคตอย่างไร แม้ว่าจะสบายในปัจจุบันแต่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและประเทศในอนาคตอย่างไร ถ้ารัฐมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นก็ต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็ต้องหาทางกู้หนี้จนประเทศต้องแบกรับหนี้สินในอนาคต

การที่จะดึงมวลชนระดับล่างจากทักษิณนั้นต้องทำให้ประชาชนระดับล่างซึ่งเป็นฐานเสียงของทักษิณมองเห็นถึงอันตรายของระบอบทักษิณ และนโยบายประชานิยมที่ทักษิณหยิบยื่นให้

แต่กลายเป็นว่าเมื่อทักษิณใช้นโยบายประชานิยมมาดึงมวลชนระดับล่างได้ พรรคการเมืองอื่นก็แข่งกันเสนอนโยบายประชานิยมมั้ง เป็นการใช้นโยบายการตลาดเพียงเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งเท่านั้น

แน่นอนว่าพรรคการเมืองแข่งขันกันเสนอนโยบายประชานิยมเพื่อช่วงชิงคะแนนเสียง แต่น่าแปลกที่รัฐบาลของประยุทธ์ซึ่งไม่ใช่พรรคการเมืองแทนที่จะทำให้ประชาชนเห็นถึงพิษภัยของประชานิยม พอเปลี่ยนตัวสมคิด จาตุศรีพิทักษ์มาดูแลด้านเศรษฐกิจ สิ่งที่สมคิดทำทันทีก็คือ การประกาศใช้นโยบายประชานิยมด้วยการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้านวงเงินราว 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคือมาตรการให้ประชาชนเป็นหนี้ แน่นอนว่าข้ออ้างก็คือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้คนรากหญ้ามีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วเงินจำนวนนี้เพียงแต่ผ่านมือจากชาวบ้านไปยังกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นเอง

ตอนที่ทักษิณรวยแล้วเอาเงินมาลงทุนสร้างพรรคซื้อ ส.ส. ซื้อหัวคะแนนและซื้อพรรคการเมือง เมื่อมีอำนาจทักษิณก็ใช้นโยบายประชานิยมเอาเงินไปให้รากหญ้ากู้ยืมผ่านกองทุนหมู่บ้าน แล้วเงินนี้ไปไหนเงินก็หมุนกลับไปที่กลุ่มทุนสนับสนุนรัฐบาล คนจนก็บริโภคมากขึ้นมีเงินไปซื้อโทรศัพท์ ซื้อรถจักรยานยนต์ ซื้อรถกระบะ เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ แต่หนี้สินที่ชาวบ้านกู้ยืมมายังอยู่

ทักษิณเข้ามาเล่นการเมืองเมื่อปี 2544 เราย้อนไปดูไหมว่า หลังเข้ามาเล่นการเมืองไม่กี่ปีเขาร่ำรวยเพิ่มขึ้นอย่างไร

เมื่อปี 2547 หรือกว่าสิบปีมาแล้ว มีการจัดอันดับ 500 เศรษฐีหุ้นไทยของวารสารการเงินธนาคารซึ่งร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรอบปีนั้นมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ ความร่ำรวยขึ้นของตระกูลชินวัตร โดยตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นถึง 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70% และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147% โดยในปี 2544 ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท ตัวเลขมูลค่าหุ้นจากปีแรกของรัฐบาลทักษิณ 2544 ถึงปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก

พูดกันตามภาษาชาวบ้าน 3 ปีที่ทักษิณเป็นนายกฯ ตระกูลชินวัตรรวยขึ้นกว่าเดิมเกือบ 3 เท่านั่นเอง

แต่เราจะมองมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นของตระกูลชินวัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปที่ตระกูลดามาพงศ์ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ตระกูลถือหุ้นโยงกันไปมา ตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน มีมูลค่าหุ้นในปี 2544 จำนวน 6,470 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน

เมื่อรวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143%

แต่ชาวบ้านไม่ได้มองที่ความร่ำรวยเพิ่มขึ้นของทักษิณ เขาเชื่ออย่างเดียวว่าทักษิณรวยอยู่แล้วจึงมาเล่นการเมือง ดังนั้น ทักษิณคือเทพเจ้าที่มาโปรดชาวรากหญ้าเป็นเทพเจ้าที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่เทพเจ้าในสมมติอีกต่อไป

ลองคิดดูว่า นโยบายประชานิยมที่สมคิดนำมาใช้นั้น จะทำให้ประชาชนหนีห่างจากระบอบทักษิณหรือยิ่งทำให้ประชาชนคิดถึงระบอบทักษิณซึ่งเป็นต้นตำรับมากขึ้นกันแน่
กำลังโหลดความคิดเห็น