วานนี้ (15ก.ย.) นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวภายหลังเข้าให้ถ้อยคำเพิ่มเติม และรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมพยานหลักฐานสนับสนุน กับคณะกรรมการสอบสวนวินัย กรณีจดหมายน้อยว่า เป็นการเข้าให้การครั้งที่ 3 หลังคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ( ก.ศป.) มีมติให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบเพิ่มเติม ซึ่งตนเห็นว่า ไม่เป็นธรรม เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการสอบวินัยได้มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียง เห็นว่าคดีดังกล่าวไม่มูลตามที่กล่าวหา ก.ศป. ก็ควรมีมติให้คืนตำแหน่งตน แต่ก.ศป. กลับเห็นว่ามีประเด็นตามเสียงข้างน้อย จึงให้คณะกรรมการสอบวินัยไปดำเนินการ
"ก.ศป.ได้มีมติในลักษณะนี้มาแล้ว 2 ครั้ง จนคณะกรรมการสอบวินัยก็บอกว่า ไม่มีอะไรจะสอบแล้ว แต่ก็ยังมามีมติอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ทำให้ผมต้องมาพบคณะกรรมการสอบวินัย ก็ถามว่าอยากจะถามอะไร ก็ให้ถามมา แต่คณะกรรมการฯ กลับให้เอกสารมาแล้วให้ผมไปดูว่ามีประเด็นอะไรอยากชี้แจง ก็เลยบอกไปว่าผมยืนยันคำให้การตามที่ได้ให้การไว้ในชั้นคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เปลี่ยนแปลง และยืนยันตามเอกสารหลักฐานที่ได้ยื่นไปแล้ว"
ทั้งนี้ นายหัสวุฒิ พยายามที่จะชี้ว่า การสอบสวนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความเป็นธรรม มีความพยายามที่ถ่วงเวลา เพื่อให้นายไพบูลย์ เสียงก้อง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นเสียงข้างมากในคณะกรรมการสอบวินัย ที่เห็นว่าคดีไม่มีมูลหมดวาระ เนื่องจากจะเกียษณอายุในปลายเดือนนี้ และจะมีการตั้งบุคคลอื่นมาทำหน้าที่กรรมการสอบสวนแทน เพื่อให้เสียงโหวตเปลี่ยนกลายเป็นว่าตนมีความผิด โดยขอให้จับตาการประชุม ก.ศป. ในวันที่ 23 ก.ย.นี้ ซึ่งตนทราบมาว่า จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และ ก.ศป.อาจลุแก่อำนาจ มีมติเห็นตามเสียงข้างน้อยว่าตนเองผิด และไล่ตนออกจากราชการก็ได้
"เป็นความพยายามที่จะกำจัดผมให้พ้นจากองค์กรนี้ ถ้าสอบเอาผิดเรื่องจดหมายน้อยไม่ได้ ก็จะเอาเรื่องอื่น ซึ่งมีหลายเรื่องมาสอบ พูดง่าย ๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยมนต์คาถา หรืออาจจะมีการจ้างคนมายิงผมก็ได้ แต่ผมไม่กลัวหรอก" นายหัสวุฒิ กล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่มีความพยายามเอาตนออกจากตำแหน่ง เพราะที่ผ่านมามีคดีเกี่ยวกับความมั่นคงหลายคดี ที่ตนไม่เห็นด้วยตามที่เขาต้องการ เช่น คดีนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งศาลปกครองสูงสุด โดยเสียงข้างมาก มีมติให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช. ให้นายถวิล นับแต่ถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ฝั่งเขากลับเห็นว่า ควรคืนตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไปแล้ว 60 วัน ซึ่งถ้าผลไปตามเขา จะเท่ากับว่าที่อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดนายถวิล มาสองปี ไม่มีความผิดเลย ซึ่งไม่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า แสดงว่ามีการเมืองเข้าแทรกแซงศาลปกครองใช่หรือไม่ นายหัสวุฒิ กล่าวว่า มีหรือไม่มี ตนได้ยกตัวอย่างให้ฟังแล้วว่า ในคดีนายถวิล ตนได้ทำให้การตัดสินไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เมื่อถามต่อว่าหากมีการแทรกแซง เหตุใดจึงไม่มีตุลาการศาลปกครองออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง นายหัสวุฒิ กล่าวว่า
"ทุกคนตกอยู่ในความกลัว กลัวถูกเล่นงานเหมือนผม 4-5 เดือนมานี้ มีการโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ และคดีสำคัญๆ ก็ไปอยู่ในมือของคนๆเดียว ขอให้ติดตามดูการวินิจฉัยตัดสินคดีนับจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร ผมขอเรียกร้องความเป็นธรรมไปยังเจ้าของประเทศ ถ้าเห็นว่ามีความไม่เป็นธรรม ต้องออกมาเรียกร้องไม่ใช่ปล่อยให้ผมเรียกร้องอยู่คนเดียว เพราะเรื่องนี้มันเลยเรื่องตัวของผมไปแล้ว แต่เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ และหลังจากนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม รับรองว่ามันไมได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ"
นายหัสวุฒิ ยังกล่าวถึงมติ ก.ศป. ที่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยกรณีใช้งบไปตรวจราชการที่ จ.พิษณุโลก โดยไม่ชอบ ว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างรีบเร่ง โดยไม่มีการเรียกคนที่รู้ข้อเท็จจริงไปสอบ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำลังสอบอยู่ และตนทราบมาว่า เป็นสิ่งที่หน่วยงานต่างๆได้ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงการไปปฏิบัติราชการดังกล่าว มีอยู่ 2 เรื่อง ที่ให้ปฏิบัติในวันเดียวกัน คือ เป็นประธานโครงการปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ กับโครงการยกยอดฉัตร วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย แต่กลับมีการบิดเบือนอ้างว่า มีการใช้งบประมาณโดยไม่ชอบ ซึ่งก็อยากตั้งคำถาม ถ้าไม่ไปตรวจราชการ ตนในฐานะประธานศาลปกครองสูงสุด และเป็นประธานโครงการดังวกล่าว จะสามารถเดินทางไปได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าว นายหัสวุฒิ ยังได้ให้ทีมงานแจกเอกสารระบุถึงคดีสำคัญที่เป็นเหตุให้มีความพยายามกำจัดนายหัสวุฒิออกจากตำแหน่ง นอกจากคดี นายถวิล แล้วยังมีคดี เขาพระวิหาร ที่ศาลปกครองขณะนั้นสั่งห้ามไม่ให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ยินยอมให้กัมพูชา เอาข้อตกลงไปใช้ในการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก และคดีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกการแปรรูป ทำให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความไม่พอใจ รวมถึงมีการระบุว่า ขณะนี้กลุ่มตุลาการดังกล่าวของฝ่ายการเมือง ได้เข้ายึดศาลปกครองได้แล้ว จะเห็นได้ว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เรียกร้องให้นำคดีเกี่ยวกับการจำนำข้าวของตน มาพิจารณาที่ศาลปกครอง และยังมีคดีของฝ่ายการเมืองดังกล่าว อยู่ในศาลนี้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม ตลอดการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ของสำนักงานศาลปกครอง ก็ได้มีการบันทึกภาพ และเสียงการแถลงข่าว รวมถึงการปฏิบัติงานของสื่อด้วย
"ก.ศป.ได้มีมติในลักษณะนี้มาแล้ว 2 ครั้ง จนคณะกรรมการสอบวินัยก็บอกว่า ไม่มีอะไรจะสอบแล้ว แต่ก็ยังมามีมติอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ทำให้ผมต้องมาพบคณะกรรมการสอบวินัย ก็ถามว่าอยากจะถามอะไร ก็ให้ถามมา แต่คณะกรรมการฯ กลับให้เอกสารมาแล้วให้ผมไปดูว่ามีประเด็นอะไรอยากชี้แจง ก็เลยบอกไปว่าผมยืนยันคำให้การตามที่ได้ให้การไว้ในชั้นคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เปลี่ยนแปลง และยืนยันตามเอกสารหลักฐานที่ได้ยื่นไปแล้ว"
ทั้งนี้ นายหัสวุฒิ พยายามที่จะชี้ว่า การสอบสวนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความเป็นธรรม มีความพยายามที่ถ่วงเวลา เพื่อให้นายไพบูลย์ เสียงก้อง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นเสียงข้างมากในคณะกรรมการสอบวินัย ที่เห็นว่าคดีไม่มีมูลหมดวาระ เนื่องจากจะเกียษณอายุในปลายเดือนนี้ และจะมีการตั้งบุคคลอื่นมาทำหน้าที่กรรมการสอบสวนแทน เพื่อให้เสียงโหวตเปลี่ยนกลายเป็นว่าตนมีความผิด โดยขอให้จับตาการประชุม ก.ศป. ในวันที่ 23 ก.ย.นี้ ซึ่งตนทราบมาว่า จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และ ก.ศป.อาจลุแก่อำนาจ มีมติเห็นตามเสียงข้างน้อยว่าตนเองผิด และไล่ตนออกจากราชการก็ได้
"เป็นความพยายามที่จะกำจัดผมให้พ้นจากองค์กรนี้ ถ้าสอบเอาผิดเรื่องจดหมายน้อยไม่ได้ ก็จะเอาเรื่องอื่น ซึ่งมีหลายเรื่องมาสอบ พูดง่าย ๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยมนต์คาถา หรืออาจจะมีการจ้างคนมายิงผมก็ได้ แต่ผมไม่กลัวหรอก" นายหัสวุฒิ กล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่มีความพยายามเอาตนออกจากตำแหน่ง เพราะที่ผ่านมามีคดีเกี่ยวกับความมั่นคงหลายคดี ที่ตนไม่เห็นด้วยตามที่เขาต้องการ เช่น คดีนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งศาลปกครองสูงสุด โดยเสียงข้างมาก มีมติให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช. ให้นายถวิล นับแต่ถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ฝั่งเขากลับเห็นว่า ควรคืนตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไปแล้ว 60 วัน ซึ่งถ้าผลไปตามเขา จะเท่ากับว่าที่อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดนายถวิล มาสองปี ไม่มีความผิดเลย ซึ่งไม่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า แสดงว่ามีการเมืองเข้าแทรกแซงศาลปกครองใช่หรือไม่ นายหัสวุฒิ กล่าวว่า มีหรือไม่มี ตนได้ยกตัวอย่างให้ฟังแล้วว่า ในคดีนายถวิล ตนได้ทำให้การตัดสินไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เมื่อถามต่อว่าหากมีการแทรกแซง เหตุใดจึงไม่มีตุลาการศาลปกครองออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง นายหัสวุฒิ กล่าวว่า
"ทุกคนตกอยู่ในความกลัว กลัวถูกเล่นงานเหมือนผม 4-5 เดือนมานี้ มีการโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ และคดีสำคัญๆ ก็ไปอยู่ในมือของคนๆเดียว ขอให้ติดตามดูการวินิจฉัยตัดสินคดีนับจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร ผมขอเรียกร้องความเป็นธรรมไปยังเจ้าของประเทศ ถ้าเห็นว่ามีความไม่เป็นธรรม ต้องออกมาเรียกร้องไม่ใช่ปล่อยให้ผมเรียกร้องอยู่คนเดียว เพราะเรื่องนี้มันเลยเรื่องตัวของผมไปแล้ว แต่เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ และหลังจากนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม รับรองว่ามันไมได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ"
นายหัสวุฒิ ยังกล่าวถึงมติ ก.ศป. ที่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยกรณีใช้งบไปตรวจราชการที่ จ.พิษณุโลก โดยไม่ชอบ ว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างรีบเร่ง โดยไม่มีการเรียกคนที่รู้ข้อเท็จจริงไปสอบ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำลังสอบอยู่ และตนทราบมาว่า เป็นสิ่งที่หน่วยงานต่างๆได้ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงการไปปฏิบัติราชการดังกล่าว มีอยู่ 2 เรื่อง ที่ให้ปฏิบัติในวันเดียวกัน คือ เป็นประธานโครงการปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ กับโครงการยกยอดฉัตร วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย แต่กลับมีการบิดเบือนอ้างว่า มีการใช้งบประมาณโดยไม่ชอบ ซึ่งก็อยากตั้งคำถาม ถ้าไม่ไปตรวจราชการ ตนในฐานะประธานศาลปกครองสูงสุด และเป็นประธานโครงการดังวกล่าว จะสามารถเดินทางไปได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าว นายหัสวุฒิ ยังได้ให้ทีมงานแจกเอกสารระบุถึงคดีสำคัญที่เป็นเหตุให้มีความพยายามกำจัดนายหัสวุฒิออกจากตำแหน่ง นอกจากคดี นายถวิล แล้วยังมีคดี เขาพระวิหาร ที่ศาลปกครองขณะนั้นสั่งห้ามไม่ให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ยินยอมให้กัมพูชา เอาข้อตกลงไปใช้ในการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก และคดีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกการแปรรูป ทำให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความไม่พอใจ รวมถึงมีการระบุว่า ขณะนี้กลุ่มตุลาการดังกล่าวของฝ่ายการเมือง ได้เข้ายึดศาลปกครองได้แล้ว จะเห็นได้ว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เรียกร้องให้นำคดีเกี่ยวกับการจำนำข้าวของตน มาพิจารณาที่ศาลปกครอง และยังมีคดีของฝ่ายการเมืองดังกล่าว อยู่ในศาลนี้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม ตลอดการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ของสำนักงานศาลปกครอง ก็ได้มีการบันทึกภาพ และเสียงการแถลงข่าว รวมถึงการปฏิบัติงานของสื่อด้วย