ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เดินทางไปที่สำนักงานศาลปกครองสูงสุด ขอเข้าพบ นายปิยะ ปะตังทา รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ ประธานศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ไม่ยอมดำเนินการตามกฎหมาย หลังคณะกรรมการสอบวินัยกรณี "จดหมายน้อย ฝากตำรวจ" มีมติเสียงข้างมากว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิด
และนับเป็นครั้งแรกที่นายหัสวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับผู้สื่อข่าว หลังถูกให้พักราชการมาเป็นเวลา 6 เดือน
หลังจากมีเรื่องร้องเรียน กรณี จดหมายน้อยฝากตำรวจ นี้ ก.ศป. เสียงข้างมาก มีมติเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ให้ตั้งกรรมการสอบวินัย นายหัสวุฒิ แต่เมื่อคณะกรรมการสอบวินัยทำการสอบเสร็จแล้ว มีมติเสียงข้างมากว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิด
แต่ ก.ศป.ไม่ยึดตามเสียงข้างมากของคณะกรรมการสอบสวนวินัย กลับดำเนินการในลักษณะประวิงเวลา ทั้งไม่พิจารณาเรื่องดังกล่าว และไปมีความเห็นตามเสียงข้างน้อย ให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อผลสอบออกมาว่าไม่มีความผิด ก็ต้องให้นายหัสวุฒิ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ประธานศาลปกครองสูงสุดตามเดิม
กรณีนี้ มีข้อสังเกตว่า ตามระเบียบก.ศป. ระบุว่า ผู้ที่มีอำนาจลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในกรณีที่ประธานศาลปกครองสูงสุดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ มีเพียง รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 1 ซึ่งก็คือ นายปิยะ ปะตังทา แต่ผู้ลงนามในคำสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยกลับเป็น นายชาญชัย แสวงศักดิ์ รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 2 ซึ่งขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุม ก.ศป.
จึงทำให้ถูกมองว่า เรื่องนี้มีเบื้องลึก เบื้องหลังที่จะเล่นงานเอาผิด หัสวุฒิ เพราะคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนไม่ชอบตามระเบียบของ ก.ศป.
ขณะที่มติพักราชการ หัสวุฒินั้น ก็มีการเปิดเผยว่า ได้รับทักท้วงจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเช่นกัน โดยให้ความเห็นว่า ก.ศป.ไม่อาจลงมติพักราชการ ประธานศาลปกครองสูงสุดได้โดยตรง แต่ต้องมีคณะกรรมการสอบสวนเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ก.ศป. ซึ่งก็เป็นไปตามระเบียบ ก.ศป. อีกเช่นกัน
นอกจากนี้ การสั่งพักราชการระดับ "ประธานศาลปกครองสูงสุด " นั้นมีเงื่อนไขไว้ว่า ต้องเป็นกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่
แต่ก.ศป. เสียงข้างมาก มีข้ออ้างว่า นายหัสวุฒิ อาจมีพฤติการณ์ขัดขวางการสอบสวนของคณะกรรมการ จึงลงมติพักราชการ นายหัสวุฒิ ทันที
ในการเปิดใจครั้งนี้ นายหัสวุฒิ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการสอบสวนในกรณีจดหมายน้อยของ ก.ศป. ว่า มีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก เพราะข้อกล่าวหาที่นำมาสู่การสอบวินัย และ พักราชการ ไม่เข้าเงื่อนไข ตามกฎหมายที่กำหนดว่า จะต้องเป็นกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการอย่างร้ายแรง กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ เรียกรับสินบน หรือเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญา ต้องให้พักราชการ แต่ ก.ศป. ก็ดำเนินการ โดยไม่มีการรับฟังความเห็น หรือเหตุผลของคณะกรรมการสอบสวนตามกฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ระยะเวลาการสอบสวน ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน แต่กลับใช้เวลาสอบนานถึง 4 เดือน และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติออกมาแล้ว ก.ศป. ก็ยังถ่วงเวลา ไม่ยอมลงมติในผลการสอบสวน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดเกิดจากกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวกัน และขณะนี้กลุ่มคนดังกล่าว ก็พยายามมีการแก้ไขระเบียบ เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เข้ามาเป็นกรรมการสอบสวน
อย่างไรก็ตาม แม้คณะกรรมการสอบสวนเสียงข้างมากจะมีมติชี้ว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิด แต่ ก.ศป.ก็ยังไม่คืนตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดให้ ขณะเดียวกันกลับมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนนายหัสวุฒิ เพิ่มเข้ามาอีก คือ กรณีความไม่โปร่งใส ในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการที่ จ.พิษณุโลก
"มีความพยายามหาเรื่องผมไม่หยุด ตั้งข้อหามากมาย แล้วก็ตั้งคนกลุ่มเดียวกัน ขึ้นมาเป็นกรรมการสอบอีก จึงเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อที่จะหาเรื่องผมไม่จบ ทั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ผมยอมเข้าสู่กระบวนการโดยสงบ 5-6 เดือนที่มีการสอบ ผมไม่เคยออกมาพูดอะไร แต่กลับมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อบางสำนักออกมาในลักษณะชี้นำ แต่เมื่อวันนี้ ผลสอบคณะกรรมการกรณีจดหมายน้อยบอกว่า ผมไม่ผิด ผมก็ต้องมาขอความเป็นธรรม ซึ่งไม่ได้มาขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง แต่มาขอความเป็นธรรมให้สังคม เพราะในเหตุการณ์นี้ ผมเป็นตุลาการ ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากองค์กรนี้ ประชาชนก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากองค์กรต่างๆ เพราะคนที่เป็น ก.ศป. ล้วนแต่เป็นนักกฎหมายระดับสูงทั้งนั้น จึงอยากขอให้ทำเรื่องนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย" นายหัสวุฒิ กล่าว
ซึ่งในวันที่ 9 กันยายน ที่นายหัสวุฒิ ให้สัมภาษณ์เปิดใจนั้น ก็มีการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) มีวาระการพิจารณา ผลการสอบสวนทางวินัย นายหัสวุฒิ ในกรณีจดหมายน้อยสนับสนุนตำรวจของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ซึ่ง คณะกรรมการสอบสวนฯ ที่มี นายชาญชัย แสวงศักดิ์ รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 2 เป็นประธานฯ มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา
หลังจากที่ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้วที่ประชุม ก.ศป. เห็นว่า มติ 3 ต่อ 2 เสียง ของคณะกรรมการสอบสวนฯ ยังมีความเห็นแย้กันอยู่ จึงได้มีมติเสียงข้างมาก ให้คณะกรรมการสอบสวนฯ ดำเนินการเรียกประธานศาลปกครองสูงสุดเข้าพบ เพื่อปฏิบัติให้ครบถ้วน และเกิดความชัดเจนตามระเบียบ ก.ศป. ข้อ 21 ที่ระบุว่า ต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหา มารับทราบข้อกล่าวหา และพยานหลักฐานสนับสนุน
นอกจากนี้ ยังมีมติให้ตั้งกรรมการสอบวินัย นายหัสวุฒิ เพิ่มเติม จากกรณีที่นายหัสวุฒิ ถูกกล่าวหาว่า เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วมพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ที่ จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีภารกิจที่ จ.พิษณุโลก ด้วย
เรียกได้ว่า เรื่องจดหมายน้อยก็ยังไม่จบ แถมยังต้องถูกตั้งกรรมการสอบวินัย เรื่องใช้จ่ายเงินไม่โปร่งใส ซ้อนเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็จะส่งผลให้นายหัสวุฒิ ต้องถูกพักราชการต่อไป จนกว่าผลการสอบเรื่องนี้จะแล้วเสร็จ
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ ก.ศป. มีมติออกมาเช่นนั้น ที่สำนักงานศาลปกครอง ก็มีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึง คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ลงนามโดย คณะตุลาการศาลปกครองผู้รักความเป็นธรรม ระบุถึงกรณีที่ก.ศป. เสียงข้างมาก มีมติพักราชการ และตั้งกรรมการสอบวินัย นายหัสวุฒิ ในกรณีจดหมายน้อยสนับสนุนตำรวจของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ซึ่งเวลาผ่านไปกว่า 6 เดือน ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา
"ขอให้ ก.ศป.ได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ ตามที่ประธานฯ(นายหัสวุฒิ)ได้เรียกร้อง และตั้งข้อสังเกตในทุกประเด็นอย่างชัดเจนโดยเร็ว เพื่อมิให้ศาลปกครองและองค์กร ก.ศป.ได้รับความเสียหาย และถูกครหาจาดสาธารณชนถึงความไม่โปร่งใส และความไม่เป็นธรรมได้"
ศึกชิงตำแหน่งศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จึงส่อเค้าว่าจะยืดเยื้อ ยาวนาน และยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่า นายหัสวุฒิ จะได้กลับมานั่งในตำแหน่งนี้อีกหรือไม่ แม้ว่าจะยังเหลือเวลาในวาระการดำรงตำแหน่งอีก 3 ปีก็ตาม