ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - 5 กันยายน 2558 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนพิเศษ 207 ง ได้มีประกาศเรื่อง “การดำเนินการเพื่อถอดพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตำรวจ” ซึ่งลงนามโดย บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ปรากฏต่อสายตาของสาธารณชนเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ให้เหตุผลในการถอดยศนายทักษิณโดยอ้างอิงจากข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ซึ่งระบุเอาไว้ว่า มีความผิดถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา และยังมีข้อหาความผิดอาญาอื่นๆ อีกหลายฐาน และ คสช.มีความเห็นว่า กระทบต่อความมั่นคงของชาติและมีความจำเป็นต้องดำเนินการเป็นการด่วน
ก่อนมีราชกิจจานุเบกษา ไม่มีใครคาดคิดว่า จะออกมาในรูปนี้คือการใช้มาตรา 44 เพราะก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวและคำให้สัมภาษณ์ยืนยันมาโดยตลอดว่า นายกรัฐมนตรีจะเซ็นลงนามนำขึ้นทูลเกล้าฯ กระทั่งมาพลิกผันและกลายมาเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในที่สุด
“เป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เพื่อให้เกิดความชัดเจนจาก ที่ สตช.ส่งเรื่องมาก็ได้ นำไปให้ คสช.พิจารณา เพิ่มเติม เมื่อมีมติเห็นสมควร หัวหน้า คสช.จึงตัดสินใจใช้ม.44 เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ลดพระราชภาระ ไม่ให้ทรงระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เนื่องจากเป็นประเด็นที่ผู้ไม่หวังดีจะนำไปขยายความอีก ซึ่ง ม.44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้ระบุไว้ และหัวหน้า คสช.จะใช้ในเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วน เท่าที่จำเป็นจริงจริง โดยขอรับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว”พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันในเวลาต่อมา
แต่ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไรก็ตาม บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ถูกถอดยศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนับจากนี้ไปคำเรียกขานของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ฉาวโฉ่ผู้นี้คงเหลือแค่เพียง 3 คำเท่านั้นคือ “นาย ดร.หรือไม่ก็นักโทษชายหนีคดี”
และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็จะต้องจารึกเอาไว้ว่า การถอดยศ พ.ต.ท.ของนายทักษิณทำสำเร็จในยุคที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีและมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ส่วนคำถามว่าการใช้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ถูกต้องและสามารถทำได้หรือไม่นั้น ตามที่นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความ ประธานชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. โดยอ้างว่า การถอดยศต้องเป็นไปตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ที่บัญญัติว่าการถอดยศหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการนั้น มีความชัดเจนแล้วว่า เป็นไปตามบทบัญญัติที่ชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 (ฉบับชั่วคราว) ทุกประการ
“มันเป็นสิ่งที่จะต้องทำอยู่แล้วเท่านั้นเอง และคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ไปกระทบต่อพระราชอำนาจ ไม่กระทบต่อความควรไม่ควร เพราะฝ่ายข่าวเขาพบว่าอาจจะมีกรณีที่จะทำให้ไประคายเคือง ดังนั้นหัวหน้า คสช.จึงรับผิดชอบเสียเองโดยเลือกใช้เส้นทางนี้ ผมว่าคุณทักษิณท่านพูดดีออกว่าเป็นโลกธรรม เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแบบนี้ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนเรามีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ต้องมีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ เขาเรียกว่าโลกธรรม 8 ประการ สาธุ” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อธิบายขยายความเพิ่มเติม
กระนั้นก็ดี หากถามว่า ใครคือผู้ที่ทำให้การถอดยศนายทักษิณสำเร็จลุล่วงได้ ก็คงต้องตอบว่า “บิ๊กต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง
หากยังจำกันได้หลัง พล.ต.อ.สมยศดึงเรื่องการถอดยศไปมาจนทำท่าว่าเรื่องจะยืดเยื้อออกไปจน พล.ต.อ.สมยศเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พล.อ.ไพบูลย์คือผู้ที่ลุกขึ้นมาทำให้ “ข้ออ้างสารพัดสารพัน” สาบสูญไป เมื่อคณะทำงานฝ่ายกฎหมายกระทรวงยุติธรรมของ “บิ๊กต๊อก” ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ของ สตช. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และมีข้อสรุปว่าสามารถถอดยศ “ทักษิณ” ได้ เนื่องจากเข้าข่ายองค์ประกอบการกระทำผิดตามระเบียบ สตช.ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ซึ่งคัดลอกมาจากมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ระบุไว้ 7 เงื่อนไขในการเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งที่อยู่ในราชการตำรวจและที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว
โดย “ทักษิณ” เข้าข่ายแบบเต็มๆอยู่ 2 เงื่อนไข คือ ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก และเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป
และเมื่อสังคมสิ้นข้อสงสัย ไม่มีข้ออ้างให้พลิ้วอีกต่อไป พล.ต.อ.สมยศในฐานะหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบก็จำต้องส่งเรื่องขึ้นมาให้ พล.อ.ประยุทธ์ และในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ต้องตัดสินใจลงนามในคำสั่งถอดยศ “พ.ต.ท.” ของนายทักษิณโดยอาศัยมาตรา 44 ดังที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 มาโดยตลอด
ไม่เพียงแค่ชินวัตรผู้พ่อเท่านั้น หากแต่ชินวัตรผู้ลูกอย่าง “เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้อนๆ หนาวๆ จากฝีมือของ พล.อ.ไพบูลย์เช่นกันหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาในคดีทุจริตธนาคารกรุงไทย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นหน่วยงานใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ไพบูลย์ได้คัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำมาดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงิน และคาดว่าจะมีบทสรุปออกมาในไม่ช้า
สิ่งที่จะต้องจับตากันต่อไปก็คือ หลังการถอดยศ ปฏิกิริยาจากนักโทษชายหนีคดีและข้าทาสบริวารจะออกมาอย่างไร และจะนำไปสู่ความรุนแรงสร้างความวุ่นวายให้กับชาติบ้านเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิกิริยาของนายทักษิณ
และก็เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ เพราะ 2 วันหลังจากนั้นคือวันที่ 7 กันยายน 2558 ก็ได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงนายทักษิณขณะพูดคุยกับเครือข่ายคนเสื้อแดงในต่างประเทศผ่านโซเชียลมีเดียต่อกรณีที่ถูกถอดยศตำรวจออกมา และข้อความที่นักโทษชายหนีคดีใช้นั้น ก็กล่าวได้ว่า มีนัยสำคัญในทางการเมือง
“เกือบ 10 ปีมาแล้ว คนลืมผมไปเยอะแล้ว คราวก่อนเรื่องพาสปอร์ต มาคราวนี้ก็ถอดยศจะเอาเครื่องราชฯคืน วิธีคิดเขากับผมมันไม่เหมือนกัน เขาอาจติดยึดมองว่ายศนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าเมื่อเป็นยศพระราชทาน ถึงแม้ว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องใช้เพื่อแสดงความจงรักภักดี ในสากลเขาไม่ใช้ยศ แต่การใช้แสดงถึงความจงรักภักดีเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นอยากใช้ก็ต้องใช้ ในเมื่อไม่ให้ใช้ก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้ติดยึด พอมาเป็นนายกฯ เขาเสนอให้เป็น พล.อ. เป็น พล.ต.อ.ก็ไม่เอา คนที่จะโกรธแทนผม อย่าไปโกรธ เป็นเรื่องขำ ผมมองพวกนี้เป็นเด็ก”นายทักษิณกล่าว
หากตีความคำพูดของนายทักษิณก็จะเห็นว่า ไม่สนใจ ไม่ยี่หระหรือไม่แคร์อะไร มิหนำซ้ำนายทักษิณเห็นเป็นเรื่องขำๆอีกต่างหาก โดยพูดชัดเจนว่า “ในสากลเขาไม่ใช้ยศ แต่การใช้แสดงถึงความจงรักภักดีเท่านั้น ในเมื่อไม่ให้ใช้ก็ไม่ว่ากัน”
แต่ประโยคที่เด็ดที่สุดไม่แพ้กันก็คือ “พอมาเป็นนายกฯ เขาเสนอให้เป็น พล.อ. เป็น พล.ต.อ.ก็ไม่เอา” ซึ่งหากมองอย่างผิวเผินก็อาจเห็นว่า นายทักษิณเป็นคนไม่ยึดติด แต่การที่นายทักษิณเจตนาใช้คำพูดลักษณะนี้ ก็ย่อมสื่อให้สังคมเห็นจิตเจตนาที่อยู่เบื้องลึกได้เป็นอย่างดี
นี่กระมังเป็นเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจไม่นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะคาดการณ์ได้ว่า จะมีการนำไปขยายผลในการการเมืองเพื่อตอกย้ำคำว่า “อำมาตย์-ไพร่” ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นการกระทำเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและรักษากฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้นายทักษิณจะพูดทำนองไม่ยี่หระ ช่างมันฉันไม่แคร์ ไม่ยึดติด แต่เมื่อดูปฏิกิริยาจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างนายพานทองแท้และลูกสาวสุดที่รักอย่าง “อุ๊งอิ๊ง” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยนายพานทองแท้ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว @Oak Phanthongtae Shinawatra เชิญชวนรณรงค์เติม “ก.ไก่”ให้นาย....ทักษิณ ภายหลัง คสช.มีคำสั่งถอดยศ เช่นเดียวกับอุ๊งอิ๊งที่โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรม @ingshin21 เป็นที่มีข้อความว่า "เติม ก.ไก่ ให้นายทักษิณ"
"เติม ก.ไก่ ให้กำลังใจนาย..ทักษิณ :ทำไมถึงชอบ เป็นลูกแค่ชอบคงไม่ได้ ทำไมถึงรักดีกว่า ส่วนของครอบครัวพ่อไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย ยังจำได้10ปีกว่าที่แล้วที่พ่อยังเป็นนายก เวลาพ่อได้ยินว่ามีครอบครัวที่หายป่วยหรือรอดชีวิตจากโครงการ30บาท พ่อจะเล่าด้วยเสียงที่มีความสุข อย่างกับรู้จักคนๆนั้นมานานนับปี รักที่พ่อชอบช่วยเหลือคนจนคนลำบาก โดยเล่าเสมอว่าพ่อลำบากมาก่อนพ่อเข้าใจ เปิดร้านขายผ้าไหมกับแม่ขายไม่ออกเลยสักผืน แต่ก็ฮึดสู้ คำสอนของพ่อที่จำขึ้นใจคือ
“1.เมื่อเห็นคนที่เค้าประสบความสำเร็จ คนที่เก่งกว่าเรา อย่าอิจฉาเค้าเอาเค้ามาเป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตเราดีขึ้น ให้วันนึงเราจะได้เก่งเหมือนเค้า 2.ต้องรู้จักเป็นคนกตัญญู คนที่มีบุญคุณกับเราให้จำเค้าให้แม่นถ้ามีโอกาสให้ตอบแทน ชีวิตจะไม่มีวันตัน3.อย่าดูถูกคนอื่น อย่าคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เหนือฟ้ายังมีฟ้า ให้เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าหรือเก่งคนละเรื่องกับเราเสมอ คิดเร็วๆได้แค่3ข้อ ยึดหลักพวกนี้ดำเนินชีวิตมาตลอด
“เพราะพ่อคิดแบบนี้ล่ะมั้ง..พ่อถึงไม่เคยคิดอะไรล้าหลัง ไม่เคยหยุดหาความรู้ ชอบคุยกับคนเก่งๆ ไม่เคยลืมประชาชนที่รักพ่อ..ในวันที่พ่อไม่มียศหรือตำแหน่งอะไรเลย ง่ายๆแค่นี้ถ้าจะให้เขียนทุกอย่างที่ทำให้รัก??? 555ถามผิดคนแล้ว.. โลกทั้งใบก็เขียนไม่พอ❤ #นายกในดวงใจ”อุ๊งอิ๊งโพสต์
ด้านโอ๊คโพสต์ว่า “ทีมเพื่อนโอ๊คขอร่วมเกาะกระแส คนออนไลน์ "เติม ก.ไก่ ให้นาย...ทักษิณฯ" ด้วยคนครับ ต้องขอขอบคุณ ผู้ที่ริเริ่มแคมเปญเปลี่ยนโปรไฟล์เฟสบุ๊ค เป็นการรณรงค์ "เติม ก.ไก่ ให้นาย...ทักษิณฯ" เพื่อให้กำลังใจท่าน รวมทั้งขอขอบคุณพี่น้อง ในโลกออนไลน์ทุกๆท่าน ที่ร่วมเปลี่ยนโปรไฟล์ในครั้งนี้ด้วยถือซะว่า เป็นการต้อนรับท่าน เข้าสู่การเป็นประชาชนเต็มขั้น ไม่ต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์ ให้แตกต่างจากชาวบ้านทั่วๆไป เป็นนายทักษิณ ชินวัตรนี่แหละดี จะได้ใกล้ชิดชาวบ้านมากขึ้นไปอีก
“ถอดยศทักษิณนั้นถอดง่าย แค่อ้าง ม.44 เซ็นต์ชื่อแกร๊กเดียว ก็สามารถถอดยศพันตำรวจโท ออกจากทักษิณฯได้แล้ว แต่จะถอดนาย(ก)ทักษิณฯ ออกจากหัวใจชาวบ้าน ยิ่งถอดแรงขึ้นเท่าไหร่ นาย(ก)ทักษิณฯกลับยิ่งฝังลึกเข้าไปในหัวใจชาวบ้าน มากขึ้นทุกทีๆ กราบขอบพระคุณ ทุกกำลังใจที่มีให้นะครับ ยศฐาบรรดาศักดิ์มีไปก็กินไม่ได้ ปัญหาปากท้องชาวบ้านสิเรื่องใหญ่ ถอดยศถอดเยส เสร็จภารกิจสะใจกันไปเรียบร้อยแล้ว อย่าชักช้ารีบหันกลับมา เริ่มแก้ปัญหาปากท้องให้ชาวบ้าน ที่เดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ สักทีเถอะครับ
#นายกในดวงใจ ทีมเพื่อนโอ๊ค”
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาคำพูดต่อมาคือ“ตอนนี้เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ ล้างไม่หมดหรอก” ก็จะสามารถรับรู้ถึงสัญญาณอะไรบางอย่างได้ว่า นายทักษิณกำลังท้าทายอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของ คสช.อยู่ในที
บ่งชี้ถึงอารมณ์แท้จริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งสอดรับกับลิ่วล้อคนสำคัญอย่าง “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยประกาศกร้าวว่า “สิ่งที่ทำกับ ดร.ทักษิณไม่เกิดประโยชน์อะไร ถอด ดร.ทักษิณออกจากยศได้ แต่ไม่สามารถถอด ดร.ทักษิณออกจากหัวใจคนได้”
เพราะหลังคำพูดประโยคนั้นไม่นานนัก นายทักษิณก็ส่งต่อชุดความคิดออกมาต่อเนื่องด้วยการการแบะท่าเสนอทางออกว่า “เราคนไทยด้วยกันพูดภาษาเดียวกัน ทำไมไม่พูดกัน พูดกันง่ายกว่าปราบ เพราะปราบเอาไม่อยู่หรอก ผมเป็นคนพูดรู้เรื่อง ทำไมไม่พูด”
หรือตีความได้ว่า นายทักษิณยังคงต้องการให้เรื่องทั้งหมดจบบนโต๊ะเจรจา
ถามว่า เป็นไปได้หรือไม่
ก็ตอบว่าเป็นไปได้ในทางทฤษฎี เพียงแต่หากหยิบยกคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์มาวิเคราะห์แล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ไม่น้อย
“ผมตามใจคนพูด เพราะบอกว่าเขาไม่ต้องการ เขาว่าถอดได้ก็ถอดไปใช่ไหม แล้ววันนี้จะมาว่าผมได้อย่างไร ผมทำตามใจเขา อย่าพูดกลับไปกลับมา ผมทำงาน อีกคนไม่ทำงานและด้อยค่ากว่าผมตลอด”
“ผมไม่ได้รังแก แต่ต้องมีสาเหตุ เคยรับสาเหตุกันได้บ้างหรือไม่ อย่าให้คนทุจริต คนไม่ดี คนขี้โกง คนทำผิดกฎหมายมีที่ยืนในสังคม แต่อย่าไปรุนแรงกับเขามากนัก ส่วนคนที่ไปชื่นชมให้ระวังเพราะมีกฎหมายอยู่ การให้การสนับสนุนคนกระทำความผิดหรือช่วยหลบหนีต่างๆ ถือว่าเป็นการสนับสนุนคนทำผิดกฎหมาย ระวังกฎหมายจะเล่นงาน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ยิ่งเมื่อเจอกับคำให้สัมภาษณ์ของ “บิ๊กต๊อก-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วยแล้ว ยิ่งต้องหนาว เพราะประกาศเอาไว้ชัดเจนว่า “ตกลงจะไม่ให้ผมทำตามกฎหมายก็พูดมาสิ แล้วอย่ามาพูดนะว่ารัฐบาลชุดนี้เลือกปฏิบัติ ห้ามพูดคำนี้เด็ดขาด มันเป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เขาดำเนินการมากี่คนแล้ว ดูกฎหมายอย่างดีแล้ว แล้วจะกลัวอะไร ถ้าทำถูกก็ไม่ต้องกลัว ผมพูดคำนี้เลยว่าผมไม่กลัว ให้ออกมาแล้วกัน แล้วบอกผมด้วยว่าออกมาเพื่ออะไร จะได้รู้ว่าต้องปกครองประเทศแบบไหน”
งานนี้ใครกล้าลองดีกับ คสช. โดยเฉพาะ คสช.ที่ชื่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งในการถอดยศ “พ.ต.ท.” ของนายทักษิณ ก็ออกมาแสดงตัวกันให้เห็นหน่อยบ้างเป็นไร