ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ mai เดินหน้าสร้างมูลค่าตลาดฯ เตรียมความพร้อมบริษัทจ่อคิดเข้าจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง วางแผนดำเนินงานปัจจุบันสร้างฐาน ต่อยอดอนาคตแข็งแกร่ง เตรียมผนึกหน่วยงานทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน รวมถึงบริษัทจดทะเบียน สร้างโครงข่ายทางการเงิน คลังความรู้ด้านการลงทุนหนุนผู้มีฝันอยากทำธุรกิจ
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดแผนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการวางรากฐานให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐบาล และเอกชนสร้างโครงข่ายทางการเงินที่เหมาะสมให้กับผู้ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ปัจจุบันมีบริษัทที่แสดงความประสงค์จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น mai มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นโดยมีบริษัทที่มีที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาให้การดูแลแล้ว ณ ปัจจุบัน 80 บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนใน 1 – 3 ปี และยังมีอีกกว่า 100 บริษัทที่ต้องการคำปรึกษา และเตรียมความพร้อมโดยตลาด mai จะเน้นด้านการเข้าไปให้ความรู้ของบริษัทเพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเบื้องต้นเช่นเรื่องระบบบัญชี การควบคุมภายใน การจัดโครงสร้างบริษัท แนวทางการเข้าจดทะเบียน และการเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน นอกจากนี้จะมีในส่วนของ IPO FOCUS ที่จะเน้นในรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น ได้แก่การเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ ความเสี่ยง ระบบบัญชี และหลักสูตรการให้ความรู้สำหรับ CFO ของบริษัทจดทะเบียน
“ผมว่าความผันผวนบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเวลาทำงานเราจึงเน้นที่จะควบคุมความผันผวนที่สามารถควบคุมได้ เช่นเราจะไม่พูดว่ามูลค่ารวมตลาดฯ จะเป็นเท่าไหร่ แต่จะพูดว่าเราจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนอีกเท่าไหร่ หมายความว่าเราเพิ่มมูลค่าให้ตลาดฯ ได้อีกเท่าไหร่”
ผู้จัดการ ตลาด mai ระบุในปัจจุบันแหล่งระดมทุนมี 4 ส่วน ประกอบด้วย 1.Crowd Funding : การระดมทุนจำนวนไม่มากจากประชาชนหรือองค์กรจำนวนมากเพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 2. Venture Capital : การระดมทุนด้วยการร่วมทุน 3.Angel Investor : เครือข่ายนักลงทุนส่วนบุคคล และ 4. Private Fund : กองทุนส่วนบุคคล หน้าที่ของ mai คือประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างโครงข่ายเชื่มอโยงกัน
“ผู้บริหารบริษัทต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง mai เราก็ทำหน้าที่ “ที่ปรึกษา” ที่ดีให้เขาคือให้คำแนะนำ ให้ความรู้ผ่านการจัดสัมมนาหลักสูตรต่างๆ ให้อย่างต่อเนื่องจัดให้ทั้งผู้บริหาร และระดับพนักงานเพิ่มศักยภาพให้เขาสามารถมาศึกษาต่อยอดความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน หาเวทีให้เขาได้แสดงศักยภาพของตนเอง ขณะเดียวกัน mai จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงหน่วยงานรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนเข้าด้วยกัน เปรียบเสมอศูนย์กลางความรู้ด้านการระดมทุน ให้ SME คือเดินเข้ามาที่เดียวจบครบ เป็นการประหยัดเวลาให้เขา ผมว่าคนที่ต้องการสร้างธุรกิจด้วยตัวเองเขามีความสามารถ เราเพียงสร้างทางเชื่อมให้เขาสามารถเดินได้ถูกทาง เขาจะสามารถพัฒนาศักยภาพได้เอง”
อีกโครงการหนึ่งที่ทางตลาด mai กำลังดำเนินการ คือ การให้บริษัทที่จดทะเบียนใน mai เป็น “พี่เลี้ยง” หรือเป็น “พาร์ทเนอร์” ให้กับบริษัทที่สนใจเข้ามาจนทะเบียนในตลาด mai ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจทาหนึ่ง
นายประพันธ์ แบ่งกลุ่ม 116 บริษัทจดทะเบียนในตลาด mai เป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส กลุ่มนี้มีประมาณ 25% ซึ่งก็พร้อมที่จะปรับระบบการบริหารจัดการพลิกกลับมาทำกำไรในอนาคต 2.กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอ กลุ่มมี้มีประมาณ 40% โดยมี PE หรือ ความสามารถในการทำกำไร ประมาณ 40 เท่า และ 3. กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีมาก ประมาณ 40% ซึ่งกลุ่มนี้มี PE หรือ ความสามารถในการทำกำไรมากกว่า 40 เท่า แต่อย่างไรก็ตามตลาด mai ก็มีโครงการพัฒนาด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ
“การที่เรามีกองทุนจากธนาคารกรุงไทยเข้ามาลงทุนในตลาด mai เป็นการเพิ่มความมั่นใจและสร้างการเข้าถึงการลงทุนให้นักลงทุนระดับหนึ่ง เพราะการที่นักลงทุนจะลงลึกมาศึกษาฐานะของทุกบริษัทคงเป็นไปไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำอย่างไรที่จะพูดให้ “ดัง” ขึ้นก็ เราก็เลยสร้างทางเชื่อมให้นักลงทุน เข้ามาลงทุนในบริษัทผ่านกองทุนเป็นการยืนยันว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai ก็น่าลงทุน แต่ขนาดของกองทุนก็มีความสำคัญเพราะกองทุนเขาลงทุนระยะยาวถ้าเขาต้องถึงยาวก็ต้องมีกำไรที่เหมาะสมให้เขา ทาง mai เราก็ต้องทำให้พอเหมาะ และเมื่อบริษัทจดทะเบียนใน mai แข็งแกร่งพอที่จะเข้าจดทะเบียนใน set ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัทว่าจะอยู่ใน mai ต่อไปหรือจะย้ายเข้า set เพราะเราก็ทำหน้าที่สร้างความแข็งแกร่งให้อย่างเท่าเทียมกัน และเราก็ทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง”
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดแผนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการวางรากฐานให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐบาล และเอกชนสร้างโครงข่ายทางการเงินที่เหมาะสมให้กับผู้ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ปัจจุบันมีบริษัทที่แสดงความประสงค์จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น mai มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นโดยมีบริษัทที่มีที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาให้การดูแลแล้ว ณ ปัจจุบัน 80 บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนใน 1 – 3 ปี และยังมีอีกกว่า 100 บริษัทที่ต้องการคำปรึกษา และเตรียมความพร้อมโดยตลาด mai จะเน้นด้านการเข้าไปให้ความรู้ของบริษัทเพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเบื้องต้นเช่นเรื่องระบบบัญชี การควบคุมภายใน การจัดโครงสร้างบริษัท แนวทางการเข้าจดทะเบียน และการเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน นอกจากนี้จะมีในส่วนของ IPO FOCUS ที่จะเน้นในรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น ได้แก่การเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ ความเสี่ยง ระบบบัญชี และหลักสูตรการให้ความรู้สำหรับ CFO ของบริษัทจดทะเบียน
“ผมว่าความผันผวนบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเวลาทำงานเราจึงเน้นที่จะควบคุมความผันผวนที่สามารถควบคุมได้ เช่นเราจะไม่พูดว่ามูลค่ารวมตลาดฯ จะเป็นเท่าไหร่ แต่จะพูดว่าเราจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนอีกเท่าไหร่ หมายความว่าเราเพิ่มมูลค่าให้ตลาดฯ ได้อีกเท่าไหร่”
ผู้จัดการ ตลาด mai ระบุในปัจจุบันแหล่งระดมทุนมี 4 ส่วน ประกอบด้วย 1.Crowd Funding : การระดมทุนจำนวนไม่มากจากประชาชนหรือองค์กรจำนวนมากเพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 2. Venture Capital : การระดมทุนด้วยการร่วมทุน 3.Angel Investor : เครือข่ายนักลงทุนส่วนบุคคล และ 4. Private Fund : กองทุนส่วนบุคคล หน้าที่ของ mai คือประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างโครงข่ายเชื่มอโยงกัน
“ผู้บริหารบริษัทต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง mai เราก็ทำหน้าที่ “ที่ปรึกษา” ที่ดีให้เขาคือให้คำแนะนำ ให้ความรู้ผ่านการจัดสัมมนาหลักสูตรต่างๆ ให้อย่างต่อเนื่องจัดให้ทั้งผู้บริหาร และระดับพนักงานเพิ่มศักยภาพให้เขาสามารถมาศึกษาต่อยอดความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน หาเวทีให้เขาได้แสดงศักยภาพของตนเอง ขณะเดียวกัน mai จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงหน่วยงานรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนเข้าด้วยกัน เปรียบเสมอศูนย์กลางความรู้ด้านการระดมทุน ให้ SME คือเดินเข้ามาที่เดียวจบครบ เป็นการประหยัดเวลาให้เขา ผมว่าคนที่ต้องการสร้างธุรกิจด้วยตัวเองเขามีความสามารถ เราเพียงสร้างทางเชื่อมให้เขาสามารถเดินได้ถูกทาง เขาจะสามารถพัฒนาศักยภาพได้เอง”
อีกโครงการหนึ่งที่ทางตลาด mai กำลังดำเนินการ คือ การให้บริษัทที่จดทะเบียนใน mai เป็น “พี่เลี้ยง” หรือเป็น “พาร์ทเนอร์” ให้กับบริษัทที่สนใจเข้ามาจนทะเบียนในตลาด mai ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจทาหนึ่ง
นายประพันธ์ แบ่งกลุ่ม 116 บริษัทจดทะเบียนในตลาด mai เป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส กลุ่มนี้มีประมาณ 25% ซึ่งก็พร้อมที่จะปรับระบบการบริหารจัดการพลิกกลับมาทำกำไรในอนาคต 2.กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอ กลุ่มมี้มีประมาณ 40% โดยมี PE หรือ ความสามารถในการทำกำไร ประมาณ 40 เท่า และ 3. กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีมาก ประมาณ 40% ซึ่งกลุ่มนี้มี PE หรือ ความสามารถในการทำกำไรมากกว่า 40 เท่า แต่อย่างไรก็ตามตลาด mai ก็มีโครงการพัฒนาด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ
“การที่เรามีกองทุนจากธนาคารกรุงไทยเข้ามาลงทุนในตลาด mai เป็นการเพิ่มความมั่นใจและสร้างการเข้าถึงการลงทุนให้นักลงทุนระดับหนึ่ง เพราะการที่นักลงทุนจะลงลึกมาศึกษาฐานะของทุกบริษัทคงเป็นไปไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำอย่างไรที่จะพูดให้ “ดัง” ขึ้นก็ เราก็เลยสร้างทางเชื่อมให้นักลงทุน เข้ามาลงทุนในบริษัทผ่านกองทุนเป็นการยืนยันว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai ก็น่าลงทุน แต่ขนาดของกองทุนก็มีความสำคัญเพราะกองทุนเขาลงทุนระยะยาวถ้าเขาต้องถึงยาวก็ต้องมีกำไรที่เหมาะสมให้เขา ทาง mai เราก็ต้องทำให้พอเหมาะ และเมื่อบริษัทจดทะเบียนใน mai แข็งแกร่งพอที่จะเข้าจดทะเบียนใน set ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัทว่าจะอยู่ใน mai ต่อไปหรือจะย้ายเข้า set เพราะเราก็ทำหน้าที่สร้างความแข็งแกร่งให้อย่างเท่าเทียมกัน และเราก็ทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง”