ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การรัฐประหารครั้งล่าสุดโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้ากระทำการนั้น แม้เหตุผลหลัก จะบอกว่า เพื่อยับยั้งความรุนแรงความสูญเสียในชีวิต ทรัพย์สิน ที่จะเกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยไม่มีข้ออ้างถึงเรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน เหมือนการยึดอำนาจแทบทุกครั้งที่ผ่านๆ มา
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า การทุจริต คอร์รัปชันนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งของต้นตอปัญหา อันเป็นที่มาของการชุมนุมขับไล่รัฐบาล
เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าทำการบริหารประเทศ ได้มีการตั้ง สภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อทำการศึกษาปัญหาต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ ก็มี คณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ รวมอยู่ด้วย เพื่อนำไปบรรจุในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยกให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหา ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย มีการสร้างระบบให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะในภาครัฐ ต้องการให้การทำงานทุกขั้นตอน มีความโปร่งใส ปลุกจิตสำนึก คุณธรรม จริยธรรม และ ให้ทุกคนตื่นจากการนิ่งเฉยต่อปัญหาการทุจริต เพราะหากสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริต คอร์รัปชันได้ ก็จะสามารถนำงบประมาณที่สูญเสียไปในวงจรคอร์รัปชัน กลับมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
"ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เปรียบเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกิน และสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติ ปัญหาที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานนี้ ได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศปีละหลายแสนล้านบาท และที่ประเมินไม่ได้อีกมหาศาล อีกทั้งแพร่หลายไปทั่วทุกระดับทุกวงการ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม มีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม และส่งผลให้ประเทศไทยถูกจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์การแก้ปัญหาการทุจริต และประพฤติมิชอบในระดับคะแนนที่ต่ำมาโดยตลอด จึงจำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ ครบวงจร และเป็นรูปธรรม "
วสันต์ ภัยหลีกลี้ เลขานุการ คณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึง ปัญหา และภารกิจ ที่ทางคณะกรรมาธิการได้รับมอบหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 เพื่อศึกษา และสรุปความเห็น เสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อบรรจุแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่
โดยแผนแก้ไขปัญหาการทุจริต คอร์รัปชันแบบครบวงจร ที่ได้นำเสนอไปนั้น เป็นไปตามยุทธศาสตร์ "3 ป." คือ ปลูกฝัง ป้องกัน และปราบปราม โดยชูโครงการคนไทยไม่โกง 3 แนวทาง 7 กลุ่มเป้าหมาย เพื่อไม่ให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม เสนอปรับใหญ่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตั้งศาลคดีทุจริต และติดตามเอาทรัพย์สินที่ถูกโกงไปกลับคืนมา และเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว
ส่วนมาตรการป้องกัน เน้นสร้างธรรมาภิบาลในสังคม ปรับแก้กฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสาธารณะได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น และมีส่วนในการตรวจสอบอำนาจรัฐ
วสันต์ ภัยหลีกลี้ ได้อธิบายถึง พิมพ์เขียวการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ได้ศึกษา และสรุปออกมา เพื่อให้เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และปฏิบัติได้ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และบริบทของสังคมไทย ตามยุทธศาสตร์ ทั้ง 3 ด้าน อันได้แก่
1. ยุทธศาสตร์การปลูกฝัง เพื่อสร้างค่านิยมว่า "คนไทยไม่โกง" ยุทธศาสตร์นี้มีเป้าหมายเพื่อเพื่อปฏิรูป"คน" ให้มีจิตสำนึก และสร้างพลังร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
2. ยุทธศาสตร์การป้องกัน ด้วยการเสริมสร้างสังคมธรรมาภิบาล เพื่อปฏิรูประบบ และองค์กร เพื่อสร้างธรรมาภิบาลในทุกภาคส่วน
3. ยุทธศาสตร์การปราบปราม เพื่อปฏิรูประบบ และกระบวนการจัดการต่อกรณีการทุจริต คอร์รัปชันให้มีประสิทธิภาพ
ในด้านการปลูกฝัง ทางกรรมาธิการฯ เสนอให้ใช้ ยุทธศาสตร์ "คนไทยไม่โกง" 3 แนวทาง 7 กลุ่มเป้าหมาย โดยยุทธศาสตร์ "คนไทยไม่โกง" เป็นแนวคิดที่มี “คน”เป็นศูนย์กลางของการปฏิรูป เพื่อแก้ไขปัญหา คน เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าคนในสังคมส่วนใหญ่มีจิตสำนึกที่ดี ไม่ยอมรับพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชัน การทุจริตคอร์รัปชันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ใครที่ทุจริตโกงกินก็จะถูกรังเกียจและลงโทษทางสังคม (Social sanction) ทำให้ไม่มีที่ยืนในสังคม นอกจากนั้น ต้องแก้ที่วิธีคิดของคนโดยตรง ให้คนมีภูมิต้านทานต่อโอกาสและการยั่วยุให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน เป็น “คนไทยไม่โกง” ที่นอกจากตนเองไม่โกงแล้ว ยังจะไม่ยอมให้ผู้อื่นโกงอีกด้วย
สำหรับกรอบการขับเคลื่อน “คนไทยไม่โกง” ประกอบด้วย 3 แนวทาง 7 กลุ่มเป้าหมาย โดยในส่วนที่เป็นแนวทาง 3 แนวทาง ได้แก่
1. สร้างจิตสำนึกที่ตัวบุคคล เริ่มต้นทำให้คนมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง รู้ผิดชอบชั่วดี อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ตระหนักถึงผลเสียหายร้ายแรงที่จะตามมา ของการทุจริตคอร์รัปชัน
2. สร้างเครือข่าย และกลไกเชิงสถาบัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของคนที่มีจิตสำนึก ให้มีระบบ และกลไก ให้ปัจเจกบุคคลที่มีจิตสำนึกได้เชื่อมโยง สัมพันธ์กัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สร้างพื้นที่ให้คนดีมีที่ยืนในสังคม
3. สร้างพลังคุณธรรม เพื่อขับเคลื่อนสังคมในภาพใหญ่ ด้วยการส่งเสริมและสร้างกลไกบางประการ ที่ทำให้เครือข่ายของผู้ที่มีจิตสำนึกรักความถูกต้องนี้มีพลัง เป็นกลไกตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อรักษาประโยชน์ของสาธารณะ สร้างพลังต่อต้าน และลงโทษทางสังคมต่อผู้กระทำการทุจริตคอร์รัปชัน ให้ไม่มีที่ยืนในสังคม
ส่วนกลุ่มเป้าหมายหลักในการปฏิรูป 7 กลุ่ม ประกอบด้วย เด็กและเยาวชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และพรรคการเมือง ธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน ประชาสังคม และประชาชนทั่วไป
ในส่วนยุทธศาสตร์ในการปราบปราม จำเป็นต้องมีการเร่งรัด และพัฒนากระบวนการการทำงานขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนการทุจริต คอร์รัปชัน ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันควร สามารถเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าที่จะกระทำการทุจริตคอร์รัปชัน
" กระบวนการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน และคดี ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว ต้องลดภาวะคอขวด โดยเพิ่มบทบาทของสำนักงาน ป.ป.ช. ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียน และคดีให้มากขึ้น และจะต้องจับปลาตัวใหญ่ให้ได้ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น ๆ "
นอกจากนั้น ควรมีการจัดตั้งศาลคดีทุจริต และตรากฎหมายติดตามทรัพย์สินของแผ่นดินคืนจากการทุจริตด้วย เพื่อให้สามารถลงโทษคนโกงได้ในเวลาที่ไม่ชักช้า และสามารถติดตามทรัพย์สินที่โกงไปได้ ไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร หรือจะนานแค่ไหนก็ตาม
สำหรับยุทธศาสตร์การป้องกัน เน้นการปฏิรูปด้วยการเสริมสร้างสังคมธรรมาภิบาล เพื่อเป็นระบบป้องกันการทุจริต คอร์รัปชัน เสมือนสร้างระบบภูมิต้านทานแก่ทุกภาคส่วนในสังคม โดยทุกภาคส่วนในสังคมต้องมีหลักธรรมาภิบาล เช่น การสร้างความโปร่งใส ในการกำหนดกฎเกณฑ์กติกา กระบวนการ ขั้นตอน การดำเนินงาน การเข้าถึงข้อมูล การเสริมสร้างกลไกสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน การลดการใช้ดุลยพินิจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการขจัดโอกาสการทุจริตด้วยการตรวจสอบ จับกุม ลงโทษอย่างเคร่งครัดและจริงจัง
ความโปร่งใส และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะโดยสะดวกและรวดเร็ว ประกอบกับการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอำนาจรัฐ จะช่วยป้องกันปัญหาการทุจริตได้มาก เพราะถึงที่สุดแล้ว ถ้าประชาชนพลเมืองไม่ยอม การทุจริตก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
เหล่านี้เป็นหลักการ และแนวทาง ที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพื่อขจัดปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ให้เด็ดขาด ยั่งยืน ต่อไป