วานนี้ (27ส.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 วงเงิน 2.72 ล้านล้านบาท เป็นรายมาตรา ในวาระที่ 2 ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่ได้พิจารณาแล้วเสร็จ
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 ชี้แจงว่า กมธ.ได้ให้ความสำคัญ สอดคล้อง เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และ การบูรณาการ กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้จากงบประมาณที่ตั้งไว้ จำนวน 2.72 ล้านล้านบาท ได้มีการปรับลดทั้งสิ้น 20,582 ล้านบาท โดยพิจารณาจากรายการงบประมาณต่างๆ ที่สามารถประหยัดได้ ทั้งโครงการงบประมาณที่สามารถใช้จากแหล่งอื่นได้ และนำไปปรับเพิ่มไว้ในส่วนของรายจ่ายงบกลาง ที่อยู่ในการควบคุมของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นงบประมาณตามแผนงาน เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และเพื่อเป็นการเตรียมสำหรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยการจัดสรรงบประมาณยึดหลักการ มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง มีการเปรียบเทียบการใช้จ่ายงบประมาณ ระหว่างปีปัจจุบัน และปีที่ผ่านมา เพื่อปรับให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พิจารณาค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม สัมมนา ต้องไม่มีความซ้ำซ้อน คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับและความคุ้มค่า
ส่วนหน่วยงานที่มีการปรับลดงบประมาณมากที่สุดคือ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 3,055 ล้านบาท รองลงมา กระทรวงคมนาคม ปรับลด 2,784 ล้านบาท และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถูกปรับลดไป 2,554 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม ถูกปรับลดไปทั้งสิ้น 1,257 ล้านบาท
สำหรับการงบประมาณที่ปรับลด ทางกมธ.วิสามัญฯ ได้พิจารณาเพิ่มเติมให้กับงบกลาง จำนวน 20,582 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เท่ากับ จำนวนที่ได้ปรับลดลง เพื่อสำรองจ่ายกรณีที่จำเป็นฉุกเฉิน และรองรับการดำเนินงานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งนี้ หน่วยงานที่ถูกปรับลดงบประมาณนั้น ทางกมธ.วิสามัญฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถึงความพร้อม ศักยภาพของการทำงาน และผลการทำงานที่ผ่านมาเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามงบประมาณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายในรายมาตรา เป็นไปอย่างราบเรียบ และพิจารณาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสมาชิกสงวนคำแปรญัตติเพียง 2 คน อาทิ นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สนช. ซึ่งแปรญัตติขอปรับลดงบกลาง ในส่วนของเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง 2.57 เปอร์เซนต์ จากวงเงิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากหากย้อนหลังไปดูงบประมาณปี 56 ได้ตั้งงบส่วนนี้ไว้ 3,000 ล้านบาท แต่ใช้จ่ายไป 99.27 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ตั้งงบไว้ 1,100 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 94.81 เปอร์เซนต์ และ ล่าสุดปี 58 ตั้งงบไว้ 1,000 ล้านบาท แต่ใช้จ่ายไปเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ปี 59 ที่ตั้งงบไว้ 1,000 ล้านบาท เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้เท่ากับที่ตั้งไว้ จึงเสนอปรับลด
เช่นเดียวกับ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 82,963 ล้านบาท ที่ได้เสนอแปรญัตติปรับลดงบประมาณ 0.004 เปอร์เซนต์เพราะปี 56 ตั้งงบไว้ 73,700 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 99.87 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ตั้งงบ 72,500 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 84.01 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดปี 58 ตั้งงบไว้ 88,823 ล้านบาท ใช้จ่ายได้แค่ 18.66 เปอร์เซนต์ ดังนั้น งบปี 59 ที่ตั้งไว้ 82,963 ล้านบาท และนำมาจากส่วนอื่นๆ อีก 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็นหนึ่งแสนล้านบาท นั้นจะเห็นว่าไม่มีรายละเอียดแผนการใช้จ่าย จึงเห็นควรจะนำเงินที่ไม่ได้เบิกจ่ายมาเก็บไว้เป็นเงินคงคลัง
หลังจากอภิปรายครบรายมาตราแล้ว ที่ประชุมได้มีมติรับหลักการวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 184 ต่อ0 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ติดภารกิจไปราชการที่ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวขอบคุณสมาชิก สนช.ที่ให้ความเห็นชอบ และคณะกรรมาธิการฯ ที่พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นี้ด้วยความเหนื่อยยากตลอด 3 เดือน และเท่าที่ดูเนื้อหา เห็นว่าเป็นการทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีเสียงค่อนขอดว่าสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้ทำหน้าที่แตกต่างจากสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งสมาชิกหลายท่าน ก็อาศัยประสบการณ์ความเป็นข้าราชการนำปัญหาต่างๆ มาสะท้อนได้อย่างละเอียดชัดเจน กฎหมายงบประมาณ ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญที่สุด เพราะไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายการเงินเท่านั้น แต่เกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศ เป็นเครื่องมือใช้ขับเคลื่อนนโยบายประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศ รวมทั้งวางรากฐานเพื่อพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์ 20 ปี
ส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และสมาชิก ก็จะนำเข้าที่ประชุม ครม. และส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณา ครั้งนี้เป็นการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณครั้ง 2 และมีโอกาสที่จะทำอีกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งนายกฯฝากว่า รัฐบาลขอให้ความมั่นใจ ว่าจะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายให้ตรงกับความประสงค์ของสมาชิก และตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 ชี้แจงว่า กมธ.ได้ให้ความสำคัญ สอดคล้อง เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และ การบูรณาการ กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้จากงบประมาณที่ตั้งไว้ จำนวน 2.72 ล้านล้านบาท ได้มีการปรับลดทั้งสิ้น 20,582 ล้านบาท โดยพิจารณาจากรายการงบประมาณต่างๆ ที่สามารถประหยัดได้ ทั้งโครงการงบประมาณที่สามารถใช้จากแหล่งอื่นได้ และนำไปปรับเพิ่มไว้ในส่วนของรายจ่ายงบกลาง ที่อยู่ในการควบคุมของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นงบประมาณตามแผนงาน เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และเพื่อเป็นการเตรียมสำหรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยการจัดสรรงบประมาณยึดหลักการ มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง มีการเปรียบเทียบการใช้จ่ายงบประมาณ ระหว่างปีปัจจุบัน และปีที่ผ่านมา เพื่อปรับให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พิจารณาค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม สัมมนา ต้องไม่มีความซ้ำซ้อน คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับและความคุ้มค่า
ส่วนหน่วยงานที่มีการปรับลดงบประมาณมากที่สุดคือ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 3,055 ล้านบาท รองลงมา กระทรวงคมนาคม ปรับลด 2,784 ล้านบาท และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถูกปรับลดไป 2,554 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม ถูกปรับลดไปทั้งสิ้น 1,257 ล้านบาท
สำหรับการงบประมาณที่ปรับลด ทางกมธ.วิสามัญฯ ได้พิจารณาเพิ่มเติมให้กับงบกลาง จำนวน 20,582 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เท่ากับ จำนวนที่ได้ปรับลดลง เพื่อสำรองจ่ายกรณีที่จำเป็นฉุกเฉิน และรองรับการดำเนินงานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งนี้ หน่วยงานที่ถูกปรับลดงบประมาณนั้น ทางกมธ.วิสามัญฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถึงความพร้อม ศักยภาพของการทำงาน และผลการทำงานที่ผ่านมาเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามงบประมาณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายในรายมาตรา เป็นไปอย่างราบเรียบ และพิจารณาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสมาชิกสงวนคำแปรญัตติเพียง 2 คน อาทิ นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สนช. ซึ่งแปรญัตติขอปรับลดงบกลาง ในส่วนของเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง 2.57 เปอร์เซนต์ จากวงเงิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากหากย้อนหลังไปดูงบประมาณปี 56 ได้ตั้งงบส่วนนี้ไว้ 3,000 ล้านบาท แต่ใช้จ่ายไป 99.27 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ตั้งงบไว้ 1,100 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 94.81 เปอร์เซนต์ และ ล่าสุดปี 58 ตั้งงบไว้ 1,000 ล้านบาท แต่ใช้จ่ายไปเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ปี 59 ที่ตั้งงบไว้ 1,000 ล้านบาท เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้เท่ากับที่ตั้งไว้ จึงเสนอปรับลด
เช่นเดียวกับ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 82,963 ล้านบาท ที่ได้เสนอแปรญัตติปรับลดงบประมาณ 0.004 เปอร์เซนต์เพราะปี 56 ตั้งงบไว้ 73,700 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 99.87 เปอร์เซ็นต์ ปี 57 ตั้งงบ 72,500 ล้านบาท ใช้จ่ายไป 84.01 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดปี 58 ตั้งงบไว้ 88,823 ล้านบาท ใช้จ่ายได้แค่ 18.66 เปอร์เซนต์ ดังนั้น งบปี 59 ที่ตั้งไว้ 82,963 ล้านบาท และนำมาจากส่วนอื่นๆ อีก 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็นหนึ่งแสนล้านบาท นั้นจะเห็นว่าไม่มีรายละเอียดแผนการใช้จ่าย จึงเห็นควรจะนำเงินที่ไม่ได้เบิกจ่ายมาเก็บไว้เป็นเงินคงคลัง
หลังจากอภิปรายครบรายมาตราแล้ว ที่ประชุมได้มีมติรับหลักการวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 184 ต่อ0 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ติดภารกิจไปราชการที่ประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวขอบคุณสมาชิก สนช.ที่ให้ความเห็นชอบ และคณะกรรมาธิการฯ ที่พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นี้ด้วยความเหนื่อยยากตลอด 3 เดือน และเท่าที่ดูเนื้อหา เห็นว่าเป็นการทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีเสียงค่อนขอดว่าสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้ทำหน้าที่แตกต่างจากสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งสมาชิกหลายท่าน ก็อาศัยประสบการณ์ความเป็นข้าราชการนำปัญหาต่างๆ มาสะท้อนได้อย่างละเอียดชัดเจน กฎหมายงบประมาณ ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญที่สุด เพราะไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายการเงินเท่านั้น แต่เกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศ เป็นเครื่องมือใช้ขับเคลื่อนนโยบายประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศ รวมทั้งวางรากฐานเพื่อพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์ 20 ปี
ส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และสมาชิก ก็จะนำเข้าที่ประชุม ครม. และส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณา ครั้งนี้เป็นการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณครั้ง 2 และมีโอกาสที่จะทำอีกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งนายกฯฝากว่า รัฐบาลขอให้ความมั่นใจ ว่าจะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายให้ตรงกับความประสงค์ของสมาชิก และตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป