เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (27 ส.ค.) ที่ ศาลปกครอง กลุ่มประชาชนเพื่อความยุติธรรมในแผ่นดินไทย หรือ ก.ย.ท. นำโดย นายนพพล น้อยบ้านโง้ง ประธานกลุ่มฯ เข้ายื่นหนังสือถึง นายปิยะ ปะตังทา รองประธานศาลปกครองสูงสุด ในฐานะรักษาการ ประธานศาลปกครองสูงสุด และคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ ก.ศป. ผ่านนายเสริมพงษ์ รัตนะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครอง เพื่อขอให้ยุบ ก.ศป. และเรียกนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ถูกพักราชการ ให้กลับเข้าปฎิบัติราชการ
นายนพพล กล่าวว่า เนื่องจากเห็นว่าก.ศป.ไม่ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย เพราะจากที่ได้ติดตามข่าวทางสื่อ พบว่า ราววันที่ 20 ส.ค. คณะกรรมการสอบสวนกรณีจดหมายน้อย มีมติเสียงข้างมาก เสนอความเห็นว่า ที่มีการกล่าวหา นายหัสวุฒิ เกี่ยวข้องกับจดหมายน้อยนั้น ไม่มีมูลจริง แต่ ก.ศป. ซึ่งมีหน้าที่ต้องออกมติ เพื่อรับทราบผลการสอบสวนตามที่ได้มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวน กลับไม่ทำหน้าที่ กลับหน่วงเหนื่ยวให้คณะกรรมการสอบสวนทบทวน ทั้งที่เมื่อผลสอบออกมาแล้วว่า ไม่มีความผิด ก็ชอบที่ ก.ศป. จะมีมติยุติการสอบสวน และคืนตำแหน่งให้กับนายหัสวุฒิโดยเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่าการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนที่ ก.ศป. มีคำสั่งแต่งตั้งนั้น ไม่ดำเนินการตามกรอบเวลา ที่กฎหมายกำหนดว่าจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และหากมีเหตุจำเป็นสามารถขอขยายได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่า ในขณะนี้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนแล้ว การดำเนินการสอบสวนกลับยังไม่แล้วเสร็จ และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติ ก.ศป.ก็ไม่ดำเนินการ ทั้งที่ศาลปกครองเป็นหน่วยงานที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ก็ควรจะยึดกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลังจากนี้ทางกลุ่มก็จะได้ไปยื่นเรื่องให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการประทรวงยุติธรรม ในฐานะ ประธานศุนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. เพื่อขอความเป็นธรรมให้มีการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมในศาลด้วย และเรียกร้องให้ประธานศาลปกครองเข้ามาปฎิบัติหน้าที่
"ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าว ไม่มีฝ่ายใดว่าจ้าง หรือทำเพื่อใคร แต่ทำในฐานะประชาชน ที่ต้องการเห็นความยุติธรรม ที่ผ่านมาติดตามเรื่องทางสื่อฯ ข้อมูลทั้งหมดก็ได้มาจากสื่อ และเห็นว่า การดำเนินการสอบสวนไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทางกลุ่มฯ ต้องการให้ระบบการสอบสวนในกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นายหัสวุฒิ จะผิดหรือไม่ผิด เราไม่รู้ เพราะส่วนตัวก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกัน เห็นแต่ทางสื่อฯเท่านั้น แต่เราเห็นว่า ถ้าองค์กรที่อำนวยความยุติธรรมไม่ยึดตามกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ก็จะไม่เกิด "นายนพพล กล่าว และว่า ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้จักกับ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองกลาง ที่ถูกระบุเป็นผู้ทำจดหมายน้อย รวมทั้งเห็นว่ากรณีดังกล่าวทางศาลปกครอง ควรออกมาชี้แจงให้ขัดเจน ถ้าไม่สามารถนำสืบได้ว่าเชื่อมโยงไปถึงใคร แล้วเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ก็ต้องยุติเรื่อง
นอกจากนี้ นายนพพล ยังได้ยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ผ่าน นายจักรินทร์ นุชถนอม ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักงานศาปกครองกลาง เพื่อขอข้อมูล เอกสาร คำสั่ง ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน และพักราชการ นายหัสวุฒิ อาทิ เอกสารร้องเรียนของตุลาการที่เข้าชื่อ พร้อมรายชื่อ ที่ขอให้มีการพักราชการ นายหัสวุฒิ เอกสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ รักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด หนังสือของก.ศป. และเอกสารที่มีถึงสำนักงาน กพ. เรื่องทักท้วงผู้แทนกพ. ในการมาร่วมเป็นกรรมการสอบวินัย นายหัสวุฒิ เป็นต้น
ทั้งนี้ ตามหนังสือที่ทาง ก.ย.ท.ยื่นต่อรักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด และ ก.ศป. ในครั้งนี้ ยังได้ระบุรายละเอียดการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายของ ก.ศป.ไว้ด้วยว่า ใช้อำนาจเสียงข้างมากโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ออกมติให้พักราชการประธานศาลปกครองสูงสุด และ ตั้งข้อกล่าวหาและมีคำสั่งสอบวินัยอย่างร้ายแรง ในฐานะความผิดตามอ้าง ที่ไม่ใช่ความผิดวินัยร้างแรง กับนายหัสวุฒิ ซึ่งแต่ละคำสั่ง และการออกมติ มีนายชาญชัย แสวงศักดิ์ รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 2 ซึ่งก็ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย นายหัสวุฒิ เป็นผู้เสนอวาระ ผู้ลงมติ ผู้ออกคำสั่ง รวมทั้ง เมื่อมีการพักราชการนายหัสวุฒิแล้ว นายชาญชัย และ นายปิยะ ปะตังทา รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่ 1 ในฐานะรักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด ยังได้เข้าสวมใช้อำนาจประธานศาลปกครองสูงสุดโดยไม่ชอบ มากว่า 6 เดือน
"ไม่ทำการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงในกรณีนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามกฎหมาย บริหารบุคคลของตุลาการศาลปกครอง ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ขยายได้ หากมีเหตุจำเป็นครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่ นายชาญชัย ประธานสอบสวน ไม่ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จ จนถึงวันที่ 140 นับแต่มีคำสั่ง และไม่ส่งคำสั่งสอบวินัยดังกล่าวให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว เพื่อให้โอกาสโต้แย้ง ต่อผู้ถูกกล่าวหา แต่ได้ร่วมกับก.ศป. มีมติทักท้วงกรรมการสอบสวนที่มาจาก ก.พ. ซึ่งเป็นกรรมการที่ได้มาโดยชอบด้วยระเบียบกฎหมาย ทำให้ราชการเสียหาย ขาดความชัดแจน และประสิทธิภาพในระบบ กับทำให้ผู้ถูกกล่าวหา ต้องตกอยู่ในภาวะเดือดร้อน เสียชื่อเสียง จากการไม่เร่งรัดสอบสวนให้แล้วเสร็จตามกฎหมาย และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติเสียงข้างมากว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิด ก.ศป. ซึ่งที่มีหน้าที่ต้องออกมติ เมื่อรับทราบผลการสอบสวนตามที่ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน กลับหน่วงเหนี่ยวให้คณะกรรมการสอบทบทวน ทั้งที่ประธานสอบสวน คือ นายชาญชัย ที่ก็เป็นประธานในที่ประชุม ก.ศป. ในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็รู้ดีถึงเหตุผล และมติของคณะกรรมการสอบสวนในชั้นการสอบสวน จึงขอให้มีการยุบ ก.ศป. ที่ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้กรรมการ ก.ศป.ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด และยุติบทบาทหน้าที่ และให้นายหัสวุฒิ กลับเข้าทำหน้าที่ประธานศาลปกครองสูงสุดโดยด่วน และ แต่งตั้ง ก.ศป.ชุดใหม่ รวมถึงให้ตุลาการศาลปกครอง 2 ราย คือ นายชาญชัย และ นายวิษณุ วรัญญู ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งตุลาการเสียงข้างมาก ในคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่เห็นว่า นายหัสวุฒิ มีความผิด พ้นจากความเป็นตุลาการ เนื่องจากกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างชัดแจ้ง และต่อเนื่อง" หนังสือคำร้อง ระบุ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มดังกล่าวได้เคยไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบ ก.ศป. รวมถึงยืนหนังสือถึงหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจ มาตรา 44 สั่งยุบ ก.ศป.และให้นายหัสวุฒิ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ประธานศาลปกครองสูงสุด มาก่อนแล้ว
สำหรับเรื่องจดหมายน้อย เป็นกรณีที่นายดิเรกฤทธิ์ ได้มีหนังสือถึง ผบ.ตร. เพื่อขอให้สนับสนุนนายตำรวจคนหนึ่งที่มาดูแลความปลอดภัยให้กับนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการเลื่อนขั้นในตำแหน่งที่สูงขึ้น ในการโยกย้ายประจำปี โดยในหนังสือได้อ้างถึงประธานศาลปกครองว่าก็มีความประสงค์ดังกล่าว
นายนพพล กล่าวว่า เนื่องจากเห็นว่าก.ศป.ไม่ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย เพราะจากที่ได้ติดตามข่าวทางสื่อ พบว่า ราววันที่ 20 ส.ค. คณะกรรมการสอบสวนกรณีจดหมายน้อย มีมติเสียงข้างมาก เสนอความเห็นว่า ที่มีการกล่าวหา นายหัสวุฒิ เกี่ยวข้องกับจดหมายน้อยนั้น ไม่มีมูลจริง แต่ ก.ศป. ซึ่งมีหน้าที่ต้องออกมติ เพื่อรับทราบผลการสอบสวนตามที่ได้มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวน กลับไม่ทำหน้าที่ กลับหน่วงเหนื่ยวให้คณะกรรมการสอบสวนทบทวน ทั้งที่เมื่อผลสอบออกมาแล้วว่า ไม่มีความผิด ก็ชอบที่ ก.ศป. จะมีมติยุติการสอบสวน และคืนตำแหน่งให้กับนายหัสวุฒิโดยเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่าการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนที่ ก.ศป. มีคำสั่งแต่งตั้งนั้น ไม่ดำเนินการตามกรอบเวลา ที่กฎหมายกำหนดว่าจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และหากมีเหตุจำเป็นสามารถขอขยายได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่า ในขณะนี้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนแล้ว การดำเนินการสอบสวนกลับยังไม่แล้วเสร็จ และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติ ก.ศป.ก็ไม่ดำเนินการ ทั้งที่ศาลปกครองเป็นหน่วยงานที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ก็ควรจะยึดกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลังจากนี้ทางกลุ่มก็จะได้ไปยื่นเรื่องให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการประทรวงยุติธรรม ในฐานะ ประธานศุนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. เพื่อขอความเป็นธรรมให้มีการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมในศาลด้วย และเรียกร้องให้ประธานศาลปกครองเข้ามาปฎิบัติหน้าที่
"ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าว ไม่มีฝ่ายใดว่าจ้าง หรือทำเพื่อใคร แต่ทำในฐานะประชาชน ที่ต้องการเห็นความยุติธรรม ที่ผ่านมาติดตามเรื่องทางสื่อฯ ข้อมูลทั้งหมดก็ได้มาจากสื่อ และเห็นว่า การดำเนินการสอบสวนไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทางกลุ่มฯ ต้องการให้ระบบการสอบสวนในกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นายหัสวุฒิ จะผิดหรือไม่ผิด เราไม่รู้ เพราะส่วนตัวก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกัน เห็นแต่ทางสื่อฯเท่านั้น แต่เราเห็นว่า ถ้าองค์กรที่อำนวยความยุติธรรมไม่ยึดตามกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ก็จะไม่เกิด "นายนพพล กล่าว และว่า ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้จักกับ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองกลาง ที่ถูกระบุเป็นผู้ทำจดหมายน้อย รวมทั้งเห็นว่ากรณีดังกล่าวทางศาลปกครอง ควรออกมาชี้แจงให้ขัดเจน ถ้าไม่สามารถนำสืบได้ว่าเชื่อมโยงไปถึงใคร แล้วเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ก็ต้องยุติเรื่อง
นอกจากนี้ นายนพพล ยังได้ยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ผ่าน นายจักรินทร์ นุชถนอม ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักงานศาปกครองกลาง เพื่อขอข้อมูล เอกสาร คำสั่ง ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน และพักราชการ นายหัสวุฒิ อาทิ เอกสารร้องเรียนของตุลาการที่เข้าชื่อ พร้อมรายชื่อ ที่ขอให้มีการพักราชการ นายหัสวุฒิ เอกสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ รักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด หนังสือของก.ศป. และเอกสารที่มีถึงสำนักงาน กพ. เรื่องทักท้วงผู้แทนกพ. ในการมาร่วมเป็นกรรมการสอบวินัย นายหัสวุฒิ เป็นต้น
ทั้งนี้ ตามหนังสือที่ทาง ก.ย.ท.ยื่นต่อรักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด และ ก.ศป. ในครั้งนี้ ยังได้ระบุรายละเอียดการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายของ ก.ศป.ไว้ด้วยว่า ใช้อำนาจเสียงข้างมากโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ออกมติให้พักราชการประธานศาลปกครองสูงสุด และ ตั้งข้อกล่าวหาและมีคำสั่งสอบวินัยอย่างร้ายแรง ในฐานะความผิดตามอ้าง ที่ไม่ใช่ความผิดวินัยร้างแรง กับนายหัสวุฒิ ซึ่งแต่ละคำสั่ง และการออกมติ มีนายชาญชัย แสวงศักดิ์ รองประธานศาลปกครองสูงสุด คนที่ 2 ซึ่งก็ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย นายหัสวุฒิ เป็นผู้เสนอวาระ ผู้ลงมติ ผู้ออกคำสั่ง รวมทั้ง เมื่อมีการพักราชการนายหัสวุฒิแล้ว นายชาญชัย และ นายปิยะ ปะตังทา รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่ 1 ในฐานะรักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด ยังได้เข้าสวมใช้อำนาจประธานศาลปกครองสูงสุดโดยไม่ชอบ มากว่า 6 เดือน
"ไม่ทำการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงในกรณีนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามกฎหมาย บริหารบุคคลของตุลาการศาลปกครอง ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ขยายได้ หากมีเหตุจำเป็นครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่ นายชาญชัย ประธานสอบสวน ไม่ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จ จนถึงวันที่ 140 นับแต่มีคำสั่ง และไม่ส่งคำสั่งสอบวินัยดังกล่าวให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว เพื่อให้โอกาสโต้แย้ง ต่อผู้ถูกกล่าวหา แต่ได้ร่วมกับก.ศป. มีมติทักท้วงกรรมการสอบสวนที่มาจาก ก.พ. ซึ่งเป็นกรรมการที่ได้มาโดยชอบด้วยระเบียบกฎหมาย ทำให้ราชการเสียหาย ขาดความชัดแจน และประสิทธิภาพในระบบ กับทำให้ผู้ถูกกล่าวหา ต้องตกอยู่ในภาวะเดือดร้อน เสียชื่อเสียง จากการไม่เร่งรัดสอบสวนให้แล้วเสร็จตามกฎหมาย และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนมีมติเสียงข้างมากว่า นายหัสวุฒิ ไม่มีความผิด ก.ศป. ซึ่งที่มีหน้าที่ต้องออกมติ เมื่อรับทราบผลการสอบสวนตามที่ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน กลับหน่วงเหนี่ยวให้คณะกรรมการสอบทบทวน ทั้งที่ประธานสอบสวน คือ นายชาญชัย ที่ก็เป็นประธานในที่ประชุม ก.ศป. ในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็รู้ดีถึงเหตุผล และมติของคณะกรรมการสอบสวนในชั้นการสอบสวน จึงขอให้มีการยุบ ก.ศป. ที่ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้กรรมการ ก.ศป.ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด และยุติบทบาทหน้าที่ และให้นายหัสวุฒิ กลับเข้าทำหน้าที่ประธานศาลปกครองสูงสุดโดยด่วน และ แต่งตั้ง ก.ศป.ชุดใหม่ รวมถึงให้ตุลาการศาลปกครอง 2 ราย คือ นายชาญชัย และ นายวิษณุ วรัญญู ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งตุลาการเสียงข้างมาก ในคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่เห็นว่า นายหัสวุฒิ มีความผิด พ้นจากความเป็นตุลาการ เนื่องจากกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างชัดแจ้ง และต่อเนื่อง" หนังสือคำร้อง ระบุ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มดังกล่าวได้เคยไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบ ก.ศป. รวมถึงยืนหนังสือถึงหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจ มาตรา 44 สั่งยุบ ก.ศป.และให้นายหัสวุฒิ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ประธานศาลปกครองสูงสุด มาก่อนแล้ว
สำหรับเรื่องจดหมายน้อย เป็นกรณีที่นายดิเรกฤทธิ์ ได้มีหนังสือถึง ผบ.ตร. เพื่อขอให้สนับสนุนนายตำรวจคนหนึ่งที่มาดูแลความปลอดภัยให้กับนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการเลื่อนขั้นในตำแหน่งที่สูงขึ้น ในการโยกย้ายประจำปี โดยในหนังสือได้อ้างถึงประธานศาลปกครองว่าก็มีความประสงค์ดังกล่าว