ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นโลกขานรับเม็ดเงินอัดฉีดระลอก 2 จากธนาคารกลางจีน หุ้นไทยปิดตลาดเพิ่มขึ้น +2.87% นักวิเคราะห์เตือนดัชนีรีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยบวกอื่นยังไม่เปลี่ยนแปลง แนะนำระยะสั้นเก็งกำไรในกรอบ ขณะที่ระยะกลาง-ยาวเลือกลงทุนรายตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นแรงขานรับข่าวธนาคารกลางจีนอัดฉีดเม็ดเงิน 1.50 แสนล้านหยวน หรือ 2.34 หมื่นล้านดอลลาร์ ผ่านทางข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) อายุ 7 วัน หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตพุ่งขึ้น 156.30 จุด หรือ +5.34% ปิดที่ 3,083.59 จุด ดัชนีดาวโจนส์วันที่ 26 ส.ค. ปิดที่ 16,285.51 จุด พุ่งขึ้น 619.07 จุด หรือ +3.95% ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 197.61 จุด หรือ 1.08% แตะระดับ 18,574.44 จุด ดัชนีฮั่งเส็งปิดพุ่งขึ้น 758.15 จุด หรือ 3.60% ปิดที่ 21,838.54 จุด ขณะที่หุ้นไทยปิดตลาดวานนี้ (27 ส.ค.) ที่ 1,358.03 จุด เพิ่มขึ้น 37.89 จุด เปลี่ยนแปลง +2.87% มูลค่าการซื้อขาย 52,391.81 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส ระบุ ตลาดหุ้นโลกเริ่มคลายความกังวล ผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว เพราะเห็นความพยายามอย่างชัดเจนของธนาคากลางจีน ผ่านนโยบายผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED เลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นปลายปี 2558 หรืออาจเป็นต้นปี 2559 อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงการต่างๆ
“การที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานเกือบ 20% นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน น่าจะสะท้อนข่าวร้ายไปค่อนข้างมาก สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำกลยุทธ์การลงทุน สะสมหุ้นพื้นฐาน ซึ่งกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวจำกัด เช่นหุ้นที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง คือ หุ้นสาธารณูปโภคเช่น โรงไฟฟ้า ประปา หุ้นเติบโตแรงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้น Dividend Yield สูง” นายประกิต กล่าว
ด้านน.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวเชิงบวกช่วงสั้น ตอบรับข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจธนาคารกลางจีน ขณะที่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเริ่มเข้าทำงานในแต่ละกระทรวงโดยมีเป้าหมายจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นภายใน 3 เดือน และนอกจากนี้เรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นตัวช่วยหนุนภาคการส่งออก เป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย
ส่วนปัจจัยลบ น.ส.วิลาสินี ระบุยังคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวชัดเจน ผู้บริโภคระวังการใช้จ่าย ภาคเอกชนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน ทำให้การเบิกใช้สินเชื่อในภาพรวมชะลอตัวลง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมซึ่งมียอดสะสมราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นแรงขานรับข่าวธนาคารกลางจีนอัดฉีดเม็ดเงิน 1.50 แสนล้านหยวน หรือ 2.34 หมื่นล้านดอลลาร์ ผ่านทางข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) อายุ 7 วัน หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตพุ่งขึ้น 156.30 จุด หรือ +5.34% ปิดที่ 3,083.59 จุด ดัชนีดาวโจนส์วันที่ 26 ส.ค. ปิดที่ 16,285.51 จุด พุ่งขึ้น 619.07 จุด หรือ +3.95% ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 197.61 จุด หรือ 1.08% แตะระดับ 18,574.44 จุด ดัชนีฮั่งเส็งปิดพุ่งขึ้น 758.15 จุด หรือ 3.60% ปิดที่ 21,838.54 จุด ขณะที่หุ้นไทยปิดตลาดวานนี้ (27 ส.ค.) ที่ 1,358.03 จุด เพิ่มขึ้น 37.89 จุด เปลี่ยนแปลง +2.87% มูลค่าการซื้อขาย 52,391.81 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส ระบุ ตลาดหุ้นโลกเริ่มคลายความกังวล ผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว เพราะเห็นความพยายามอย่างชัดเจนของธนาคากลางจีน ผ่านนโยบายผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED เลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นปลายปี 2558 หรืออาจเป็นต้นปี 2559 อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงการต่างๆ
“การที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานเกือบ 20% นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน น่าจะสะท้อนข่าวร้ายไปค่อนข้างมาก สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำกลยุทธ์การลงทุน สะสมหุ้นพื้นฐาน ซึ่งกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวจำกัด เช่นหุ้นที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง คือ หุ้นสาธารณูปโภคเช่น โรงไฟฟ้า ประปา หุ้นเติบโตแรงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้น Dividend Yield สูง” นายประกิต กล่าว
ด้านน.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวเชิงบวกช่วงสั้น ตอบรับข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจธนาคารกลางจีน ขณะที่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเริ่มเข้าทำงานในแต่ละกระทรวงโดยมีเป้าหมายจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นภายใน 3 เดือน และนอกจากนี้เรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นตัวช่วยหนุนภาคการส่งออก เป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย
ส่วนปัจจัยลบ น.ส.วิลาสินี ระบุยังคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวชัดเจน ผู้บริโภคระวังการใช้จ่าย ภาคเอกชนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน ทำให้การเบิกใช้สินเชื่อในภาพรวมชะลอตัวลง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมซึ่งมียอดสะสมราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้