xs
xsm
sm
md
lg

ค่าไฟก.ย.-ธ.ค.ลด3.23สตางค์ ปีหน้าจ่อขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-กกพ. เคาะลดค่าไฟงวดก.ย.-ธ.ค.58 ปรับลดลง 3.23 สต./หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟที่ประชาชนจะต้องจ่ายรวมค่าไฟฐานที่ 3.73 บาทต่อหน่วย ยอมรับลดต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ เหตุบาทอ่อน น้ำน้อย เผยค่าบาทและน้ำน้อยยังอาจทำให้ค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย.59 พลิกเป็นขยับขึ้นได้ แม้ราคาพลังงานจะลดต่ำลง

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ.มีมติ ให้เรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) งวดใหม่ที่จะเรียกเก็บในเดือน ก.ย..-ธ.ค.2558 ในอัตรา 46.38 สตางค์ต่อหน่วยลดลง 3.23 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อเทียบกับงวดที่ผ่านมา และเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานจะมีผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ 3.73 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่แนวโน้มค่าไฟงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2559) มีโอกาสเป็นขาขึ้นได้หากค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันและก๊าซฯ ปีหน้า จะยังมีทิศทางอ่อนตัวลง แต่อัตราแลกเปลี่ยนนับเป็นสิ่งที่ต้องจับตา เพราะจะมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ ซึ่งในงวดสุดท้ายของปีนี้ ได้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการคำนวณไว้ที่ 34.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐแต่ล่าสุดค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่ระดับ35-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ประกอบกับปีหน้า ปริมาณน้ำต้นทุน ยังคงน่าห่วง ทำให้การผลิตไฟจากน้ำอาจลดลงได้อีก โดยเฉพาะช่วงที่จะเข้าสู่ฤดูแล้ง

"เดิมการคำนวณค่าไฟงวดที่ผ่านมา (พ.ค.-ส.ค.) จะลดลงเพียง 5.69 สตางค์ต่อหน่วย แต่ได้มีการมองถึงทิศทางค่าไฟว่าจะลดลงรวม 13 สตางค์ต่อหน่วย งวดที่ผ่านมา จึงนำค่าไฟงวดนี้ไปรวมแล้วหาร2 จึงได้ตัวเลข9.35 สตางค์ต่อหน่วยที่ลดลงในงวดที่แล้ว และจะลดลงในงวดนี้ แต่ด้วยต้นทุนต่างๆ ที่เปลี่ยนไป ทำให้งวดนี้ไม่สามารถลดลงได้ตามที่คาดไว้ โดยลดลงเพียง3.23สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น"นายวีระพลกล่าว

นายวีระพลกล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟลดลงไม่ได้มาก มาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวน โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากที่ประมาณการไว้ช่วงพ.ค.-ส.ค.2558 ถึง 1.4 บาทต่อเหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ 34.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาเชื้อเพลิงนำเข้าสูงขึ้น ประกอบกับปีนี้ไทยประสบปัญหาภัยแล้งเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ ส่งผลทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำได้ลดต่ำกว่าแผนที่วางไว้ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

"ความต้องการใช้ไฟคาดว่าจะเท่ากับ 59,046 ล้านหน่วยต่ำกว่างวดที่แล้ว 8.39% สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงก๊าซฯ ยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก 63.86% รองลงมาเป็นการซื้อไฟฟ้าจากลาว 10.36% ถ่านหินนำเข้า9.65% ลิกไนต์ 9.15% พลังน้ำลดลง 1.98% "นายวีระพลกล่าว

นายวีระพลกล่าวอีกว่า กกพ.อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความเห็นประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร โดยแบ่งเป็นการซื้อไฟจากหน่วยราชการไม่เกิน 400 เมกะวัตต์และสหกรณ์ฯ ไม่เกิน 400 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายระยะที่ 1 รับซื้อ 600 เมกะวัตต์สำหรับพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านสายส่งโดยกำหนดให้ผู้สนใจเข้ายื่นโครงการวันที่ 1-7 พ.ย.2558

"หลังจากรับฟังความเห็น ก็จะสามารถประกาศเพื่อดำเนินการต่อไป โดยเป้าหมายระยะแรก จะแยกตามความพร้อมสายส่ง คือ การไฟฟ้านครหลวง 200 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดว่าของ กฟน. คงจะไม่มีผู้มาสมัครเลย เพราะไม่มีที่จะสร้างแล้ว ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 400 เมกะวัตต์ ซึ่งจะแยกเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 5 เมกะวัตต์ ตะวันออก 98 เมกะวัตต์ ตะวันตก 159 เมกะวัตต์ และกลาง 138 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะประกาศผู้ที่ได้รับการพิจารณาได้ 24 ธ.ค.2558 "นายวีระพลกล่าว

ทั้งนี้ การซื้อไฟระยะที่ 1 กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ไม่เกินวันที่ 30ก.ย.2559 ส่วนระยะที่ 2 จะออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าสำหรับพื้นที่ที่เหลือในภายหลัง โดยมีกำหนดSCODตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2561 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2561โดยข้อมูลศักยภาพไฟฟ้าและแบบคำขอร่วมโครงการนั้น ทาง กกพ. จะประกาศในวันที่ 15 ก.ย.นี้อีกครั้ง

สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าให้ใช้วิธีการจับสลาก โดยผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วก็จะมีสิทธิจับสลากแยกตามกลุ่มหน่วยราชการและหน่วยสหกรณ์การเกษตรเพื่อเรียงลำดับหมายเลขแต่ละกลุ่ม โดยคณะอนุกรรมการกำกับขั้นตอนการคัดเลือกจะพิจารณาตามเงื่อนไขของศักยภาพ ระบบไฟฟ้า โดยจะต้องระบุไฟฟ้าขั้นต่ำที่ยินยอมให้ปรับลดไว้ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น