xs
xsm
sm
md
lg

อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของการวางระเบิดที่ราชประสงค์? (ตอนที่ 2)

เผยแพร่:   โดย: รองศาสตราจารย์ ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์


รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ ชั้น 17 อาคารนวมินทราธราช คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) Email: pongpiajun@gmail.com


ในฐานะที่เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนิกชน ผมขอแสดงจุดยืนให้ชัดเจนก่อนว่าส่วนตัวแล้วศรัทธาในเรื่องผลของการกระทำมากกว่าอิทธิพลที่ได้รับจากดวงดาวบนฟากฟ้า ดังเช่นคำพูดของครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือท่านกล่าวไว้ว่า “ดวงชะตาฟ้าลิขิต แต่เหนือลิขิตคือคุณธรรม (คุณ นะ ทำ)” แม้ต้นทุนของแต่ละคนจะแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สติปัญญา ความสามารถ ฐานะ หรือ โอกาสที่ได้รับ แต่ทุกคนก็มีสิทธิที่เลือกจะเป็นได้ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเจตจำนงค์อันแรงกล้าของตนเอง แม้ว่าบ่อยครั้งจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราเรียกมันว่า “โชคชะตา” ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลต่อทิศทางการดำเนินชีวิตของเราบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยากต่อการปฏิเสธคือ ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ การผูกดวง รวมทั้งพิธีกรรมทางด้านไสยศาสตร์นั้นอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานจนแทบจะเรียกว่าถูกหล่อหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันและกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนใหญ่ของประเทศเลยก็ว่าได้ เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นท่านผู้อ่านลองตอบคำถามต่อไปนี้ดู

ก่อนขึ้นบ้านใหม่ หรือออกรถคันใหม่ ท่านดูฤกษ์ยามด้วยหรือไหม?

แล้วการจะหาใครสักคนเป็นคู่ชีวิตละ ท่านได้ผูกดวงว่าที่สามีว่าที่ภรรยาของท่าน และ/หรือ วางฤกษ์ยามของวันหมั้น และวันแต่งงานด้วยหรือเปล่า?

หากท่านเป็นพุทธศาสนิกชนและเป็นเพศชาย ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพักต์ เพื่อทดแทนคุณบุพการีทางตัวท่านหรือครอบครัวของท่านได้ไปหาเกจิอาจารย์เพื่อดูฤกษ์บวชหรือฤกษ์ลาสิกขาด้วยหรือไหม?

สำหรับท่านที่ตอบว่า “ไม่” หมดในทุกคำถาม ผมขอแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีระบบความคิดเป็นวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นมาอีกคน ซึ่งคงจะส่งผลดีต่อประเทศชาติมากทีเดียวหากประชากรที่มีระบบความคิดเป็นเหตุและผลได้เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ความเป็นจริงของสังคมไทยในปัจจุบันละเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ธุรกิจที่หากินกับเรื่องความเชื่อ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ล้วนผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดพร้อมไปกับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของสังคมไอทีที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงศาสตร์นี้ได้ง่ายกว่าเดิม

ย้อนกลับมาเรื่องระเบิดที่ราชประสงค์ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ตกลงกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่ แม้ว่าจะมีการเผยแพร่ผู้ก่อการร้ายที่มีลักษณะคล้ายกับชาวต่างชาติออกมาแล้วก็ตาม สิ่งที่ควรระวังคือ แม้ว่า “ผู้กระทำการ” จะเป็นคนต่างชาติก็ไม่ได้หมายความว่า “ผู้บงการ” จะต้องเป็นชาวต่างชาติด้วยเสมอไป บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติไทยที่มีเจ้านายเป็นคนไทยและมีฝรั่งเป็นลูกน้องก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ในทางกลับกันหากผู้ก่อการร้ายเป็นคนไทยก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชักใยจะไม่ใช่ชาวต่างชาติเสมอไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้เสพข่าวพึงระลึกเสมอว่าอย่าพึ่งรีบด่วนสรุปก่อนที่จะได้รับข้อมูลครบถ้วนทุกด้านในทุกมิติ มิเช่นนั้นแล้วอาจจะเกิดการมุ่งเป้าไปยังผู้ต้องสงสัยแบบผิดฝาผิดตัวทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆเลยก็เป็นได้

ผมขออีกสักคำถาม สำหรับท่านที่ตอบว่า “ใช่” หมดในทุกข้อที่ได้ถามไปแล้วในเบื้องต้น และสมมุติต่อไปอีกว่าท่านเป็นผู้ก่อการร้ายที่วางแผนจะก่อวินาศกรรมที่ราชประสงค์แบบที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ท่านจะดูฤกษ์ยามก่อนลงมือหรือไหม?

คำตอบของคำถามนี้มีนัยสูงมาก เพราะมันจะสาวไปถึงตัวตนหรือกลุ่มคนที่บงการอยู่เบื้องหลังเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ย้ำอีกครั้งพร้อมกับขีดเส้นใต้ด้วยปากกาสีแดงว่าผมไม่ได้เชื่อว่าเหตุวินาศกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอิทธิพลของดวงดาว แต่มันมีความเป็นไปได้ที่มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะก่อการร้ายให้ตรงกับช่วงที่การโคจรของดาวบนฟากฟ้านั้นส่งผลร้ายต่อประเทศ!!

ประเด็นนี้ไม่สมควรตัดทิ้งเพราะหากเราตั้งสมมุติฐานว่าผู้ก่อการร้ายเป็นคนไทยที่มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องไสยศาสตร์และมีศักยภาพสูงพอถึงขั้นท้าทายอำนาจบริหารประเทศของ คสช. แล้วละก็ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องนำดวงเมืองในช่วงที่เกิดเหตุนั้นคือ 18.55 น. ของวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2558 มาตรวจสอบดูว่าการโคจรของดาวในช่วงนั้นให้คุณหรือโทษต่อดวงเมืองของประเทศกันแน่? และการเรียงตัวของดาวในช่วงวันนั้นมันเกิดขึ้นได้บ่อยหรือนานๆ ครั้งเกิดทีหนึ่ง? เรื่องนี้ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ย่อมรู้คำตอบดีแก่ใจ หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วเหตุระเบิดอีกวันที่ท่าเรือสาทรนั้นละ? มันเป็นความผิดพลาดหรือเจตนากันแน่ที่ปาระเบิดลงไปในน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “ธาตุน้ำ” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้แสดงศักยภาพให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการใช้ “ธาตุไฟ” ปลิดชีวิตผู้คนมาแล้ว!!

หากสองเหตุการณ์นี้มีความเชื่อมโยงกันจริง ทำไมครั้งแรกทำอย่างเป็นมืออาชีพแต่ครั้งที่สองกลับทำแบบมือสมัครเล่น? หรือว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็น “เจตนา” ที่จะทำให้ตกลงน้ำเพื่อกระตุ้นธาตุน้ำขึ้นมาตามความเชื่อด้านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของพวกตนมากกว่ามุ่งเป้าไปที่จำนวนผู้เสียชีวิต? เพียงข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบันยังน้อยเกินกว่าที่จะสรุปว่าใครคือผู้บงการแต่อย่างน้อยการตั้งคำถามมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการตีกรอบให้แคบลง ส่วนอีกสองธาตุที่เหลือคือ “ธาตุดิน” กับ “ธาตุลม” นั้นจะมีส่วนสัมพันธ์กับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นจากนี้ต่อไปหรือไม่เป็นเรื่องที่ทางภาครัฐควรเฝ้าระวังกันต่อไป ท้ายสุดมีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้นั้นคือในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ แน่นอนก็ต้องรีบหาตัวคนผิดมาลงโทษกันตามกฎหมายแต่แทนที่จะจมอยู่ในกองเพลิงแห่งความเคียดแค้นหรือดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความหวาดผวา เราลองมามองดูข้อดีของการถูกตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายว่ามีอะไรบ้าง?

1. โอกาสที่จะได้เข้าถึงความหมายที่แท้จริงของการเจริญมรณานุสติดังปัจฉิมโอวาทที่ตถาคตได้ตรัสสอนไว้ว่า "สังขารทั้งหลายเป็นของไม่แน่นอน มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตายเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" นัยที่แท้จริงคือชีวิตมนุษย์นั้นมันเอาแน่นอนไม่ได้จริงๆ ทุกวันนี้ที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะพยายามฝีนกฎพระไตรลักษณ์กันทั้งนั้น ขณะที่กำลังเดินชมของแบรนด์เนมในห้างหรู หรือแม้กระทั้งกำลังขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกเสี้ยววินาที วิญญาณพร้อมที่จะหลุดออกจากร่างเราได้ตลอด เมื่อคิดได้เช่นนี้เราก็จะเข้าถึงความเป็นธรรมชาติคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้ง่ายขึ้น ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้นและจะใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นและมีชีวิตอยู่เพื่ออุดมการณ์ได้อย่างแท้จริง

2. ลองหันไปดูคำประกาศเตือนของกระทรวงต่างประเทศของแต่ละประเทศที่กล่าวเตือนประชาชนของพวกตนที่พำนักในไทยดูแล้วจะรู้ว่าใครคือมิตรแท้ใครคือเพื่อนเทียม พวกที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายเราดีต่อหน้าในที่ทำงาน แต่เวลาเราพลาดล้มเมื่อไหร่แทนที่จะช่วยประคองกลับกระทืบซ้ำไม่พอลับหลังก็คอยใช้มีดแทงเราซะพรุน คนพวกนี้มีให้เห็นอยู่ดาษดื่นในสำนักงาน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยก็เช่นเดียวกัน

3. คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำว่า "สันติภาพ" มานานและใช้ชีวิตแบบให้ตัวเองอยู่รอดไปวันๆ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ต่อจากนี้ไปเราต้องใช้ชีวิตด้วยความระแวดระวังและช่วยเป็นหูเป็นตาให้กันและกันมากขึ้น หากพบอะไรที่ผิดสังเกตอย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เกือบ 20 กว่าปีที่แล้วตอนผมไปเที่ยวปารีส ครั้งแรกสมัยเป็นนักศึกษามันอยู่ในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสพึ่งเจอกับเหตุการก่อการร้ายวางระเบิด ผมวางกระเป๋าเดินทางไว้ที่ม้านั่งเพื่อออกไปใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะติดต่อโรงแรม (สมัยนั้นยังไม่มีมือถือนะครับ มีแต่เพจเจอร์ ส่วนอินเทอร์เน็ต ก็ยังไม่แพร่หลาย) แค่ไม่กี่วินาทีที่เดินห่างออกจากกระเป๋า มีคนฝรั่งเศสตระโกนโวยวายขึ้นมาทันทีว่านี้กระเป๋าใคร พอเห็นผมพูดฝรั่งเศสไม่ได้ก็พูดเป็นภาษาอังกฤษทันทีว่าห้ามทิ้งกระเป๋าห่างจากตัวโดยเด็ดขาด! หวังว่าเราจะได้เห็นทัศนคติของคนไทยแบบใหม่ที่มีจิตสาธารณะสูงขึ้น

4. คำว่า "จิตสาธารณะ" นี้แหละครับคือเงื่อนไขสำคัญที่สุดสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่มีชาติที่พัฒนาแล้วชาติไหนที่คนในชาติขาด "จิตสาธารณะ" หวังว่าการก่อการร้ายจะช่วยปลุกวิญญาณของคนในชาติให้คิดถึงส่วนรวมมากขึ้น

5. ต่อจากนี้หากผู้บงการคือกลุ่มที่มีส่วนได้เสียกับผลประโยชน์ทางการเมืองจริง นี้คือการประกาศท้ารบของพวกเขาและตัวตนก็ชัดเจนยิ่งขึ้น ความคลุมเครือทั้งหมดมันจะได้จบๆไปเสียที แต่ในทางกลับกันหากผู้ชักใยเป็นผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ หรือเป็นกลุ่มทุนต่างประเทศของเหล่ามหาอำนาจตามที่นักวิชาการบางพวกออกมาตั้งข้อสังเกตจริง ประเทศไทยกำลังกลายเป็น "สนามรบ" ของพวกเขา โดยคนไทยต้องมาร่วมรับกรรมไปด้วย แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดซะทีเดียว เพราะมันก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศเรามันคือจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ อย่างน้อยที่สุดต่อให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกจะเลวร้ายลงมากแค่ไหนก็ตาม ประเทศไทยก็ยังน่าจะไปต่อได้ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถชักจูงต่างชาติให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น