เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (20ส.ค.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตโครงการติดตั้งเครื่องสแกนบุคคลแบบความเร็วสูง เพื่อตรวจสอบการผ่านเข้า-ออก ของบุคคลในอาคารรัฐสภา 1 และ อาคารรัฐสภา 2 วงเงิน 64 ล้านบาท
นายวัชระ กล่าวว่า โครงการจัดซื้อเครื่องสแกนบุคคลดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันใช้การไม่ได้ถึง 3 เครื่อง จากทั้งหมด 4 เครื่อง ใช้ได้ไม่กี่วันก็ต้องเรียกช่างมาซ่อม แต่ก็ยังใช้งานไม่ได้ ทั้งๆที่มีเครื่องอื่นใช้งานได้ดีอยู่แล้ว อาจมีสาเหตุจากการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง ซื้อของด้อยคุณภาพแต่ราคาสูงเกินจริง เป็นการใช้งบประมาณของแผ่นดินโดยไม่คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมามีข้อสงสัยหลายโครงการ แต่ทางสภาก็ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะได้ และยังไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สภาในยุคนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธาน และ นายเจริญ จรรย์โกมล เป็นรองประธาน ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างมากกว่า 2,000 ล้านบาท และเครื่องสแกนเป็นหนึ่งในโครงการดังกล่าว นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร และตน ได้ยื่นเรื่องต่อสภาฯให้มีการตรวจสอบการทุจริตต่างๆของสภา และยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เช่น การจัดซื้อนาฬิกาดิจิตอล วงเงิน 15 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งในห้องประธานสนช. และสโมสรรัฐสภา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อ้างว่าจะไม่มีวันหยุดเดิน แต่ตอนนี้เที่ยงตรง ตรงกันทุกเรือน ปัจจุบันยังไม่มีการลงโทษ นายสุวิจักขณ์ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น นายวัชระชัย
นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตโครงการปรับปรุงห้องงบประมาณ ตนได้เคยเรียนต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในขณะที่มาชี้แจงในการประชุมงบประมาณ ว่า แม้แต่สภายังมีการทุจริตในห้องงบประมาณ ตนจึงไม่กล้าที่จะปรับลดงบประมาณกองทัพบก
นายวัชระ กล่าวถึงการทุจริตโครงการติดตั้งเครื่องสแกนฯ ว่า ขอให้มีการตรวจสอบโดยเร่งด่วน เพื่อลงโทษผู้เกี่ยวข้องสถานหนักตามกฎหมาย รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่ทางราชการ และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันทำการ พร้อมทั้งให้แถลงข้อเท็จจริงผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชนทราบภายใน 7 วันทำการด้วย รวมทั้งขอทราบผลตรวจสอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และการจ่ายงบประมาณซ่อมแซม ภายใน 30 วันทำการ ซึ่งจะแสดงถึงความโปร่งใสในการบริหารราชการ
"การทุจริตในสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องที่คาราคาซังมานาน และยังไม่เป็นที่ยุติ ผมจึงขอเรียกร้องให้ ท่านพรเพชร ได้โปรดดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในยุคที่ท่านเป็นประธาน สนช. ต่อไป" นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า จะยื่นเรื่องการทุจริตเครื่องสแกนฯ ต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และยื่นต่อ นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ตั้งคณะตรวจสอบด้วย พร้อมทั้งยื่นสอบถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบสมาชิก สนช. 2 คน ที่ทุจริตยาปราบศัตรูพืช ต่อไป
นายวัชระ กล่าวว่า โครงการจัดซื้อเครื่องสแกนบุคคลดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันใช้การไม่ได้ถึง 3 เครื่อง จากทั้งหมด 4 เครื่อง ใช้ได้ไม่กี่วันก็ต้องเรียกช่างมาซ่อม แต่ก็ยังใช้งานไม่ได้ ทั้งๆที่มีเครื่องอื่นใช้งานได้ดีอยู่แล้ว อาจมีสาเหตุจากการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง ซื้อของด้อยคุณภาพแต่ราคาสูงเกินจริง เป็นการใช้งบประมาณของแผ่นดินโดยไม่คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมามีข้อสงสัยหลายโครงการ แต่ทางสภาก็ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะได้ และยังไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สภาในยุคนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธาน และ นายเจริญ จรรย์โกมล เป็นรองประธาน ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างมากกว่า 2,000 ล้านบาท และเครื่องสแกนเป็นหนึ่งในโครงการดังกล่าว นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร และตน ได้ยื่นเรื่องต่อสภาฯให้มีการตรวจสอบการทุจริตต่างๆของสภา และยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เช่น การจัดซื้อนาฬิกาดิจิตอล วงเงิน 15 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งในห้องประธานสนช. และสโมสรรัฐสภา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อ้างว่าจะไม่มีวันหยุดเดิน แต่ตอนนี้เที่ยงตรง ตรงกันทุกเรือน ปัจจุบันยังไม่มีการลงโทษ นายสุวิจักขณ์ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น นายวัชระชัย
นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตโครงการปรับปรุงห้องงบประมาณ ตนได้เคยเรียนต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในขณะที่มาชี้แจงในการประชุมงบประมาณ ว่า แม้แต่สภายังมีการทุจริตในห้องงบประมาณ ตนจึงไม่กล้าที่จะปรับลดงบประมาณกองทัพบก
นายวัชระ กล่าวถึงการทุจริตโครงการติดตั้งเครื่องสแกนฯ ว่า ขอให้มีการตรวจสอบโดยเร่งด่วน เพื่อลงโทษผู้เกี่ยวข้องสถานหนักตามกฎหมาย รวมถึงชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่ทางราชการ และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันทำการ พร้อมทั้งให้แถลงข้อเท็จจริงผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชนทราบภายใน 7 วันทำการด้วย รวมทั้งขอทราบผลตรวจสอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และการจ่ายงบประมาณซ่อมแซม ภายใน 30 วันทำการ ซึ่งจะแสดงถึงความโปร่งใสในการบริหารราชการ
"การทุจริตในสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องที่คาราคาซังมานาน และยังไม่เป็นที่ยุติ ผมจึงขอเรียกร้องให้ ท่านพรเพชร ได้โปรดดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในยุคที่ท่านเป็นประธาน สนช. ต่อไป" นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า จะยื่นเรื่องการทุจริตเครื่องสแกนฯ ต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และยื่นต่อ นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ตั้งคณะตรวจสอบด้วย พร้อมทั้งยื่นสอบถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบสมาชิก สนช. 2 คน ที่ทุจริตยาปราบศัตรูพืช ต่อไป